กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤศจิกายน 14, 2025, 12:28:22 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: แผ่นดินที่หายไป (2)  (อ่าน 70876 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #75 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2008, 11:39:13 PM »


กรมทรัพย์วางเป้า แก้กัดเซาะชายฝั่ง ย้ำ8จังหวัดวิกฤติ จันทบุรียันนราฯ    
 
 
 นายปรีชา จันทร์ศิริภานนท์ อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2552-2554 ด้านการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่วิกฤติว่าจากการสำรวจและศึกษาปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาการกัดเซาะในพื้นที่ตามแนวชายฝั่ง และประเมินสถานการณ์ของปัญหาการกัดเซาะระดับรุนแรงและปานกลาง เพื่อนำเสนอแนวทางฟื้นฟูสภาพชายฝั่งและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะ ให้มีผลกระทบน้อยที่สุดต่อนิเวศทางทะเลและทรัพยากรชายฝั่งทะเลของจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ จันทบุรี นครศรีธรรมราช สงขลา สุราษฏร์ธานี ปัตตานี และนราธิวาส

 ส่วนการติดตามสถานการณ์การกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย จะสำรวจติดตามสถานการณ์กัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่ประสบปัญหาการกัดเซาะรุนแรงและปานกลางนำเสนอและแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ รวมทั้งวางแผนแก้ไขปัญหาแบบบูรณาการ และรวบรวมเก็บข้อมูลพื้นฐานเพื่อใช้อ้างอิงในเรื่องการเปลี่ยนแปลงชายฝังของพื้นที่พัฒนาต่างๆ

 นอกจากนี้ จะดำเนินการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและธรณีวิทยา โดยเฉพาะการสำรวจและศึกษาในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่จะประสบปัญหาการกัดเซาะรุนแรงและน้ำทะเลท่วม จากการเพิ่มของระดับน้ำทะเล เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสภาพธรณีวิทยา ศึกษาการทรุดตัวของพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วม สำหรับใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการวางแผนป้องกันแก้ไขผลกระทบในอนาคต และเสริมสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ให้กับทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการลดผลกระทบดังกล่าว

 สำหรับผลการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2550-2551ที่ผ่านได้มีการดำเนินการศึกษาสำรวจติดตามการกัดเซาะชายฝั่งทะเลอย่างรุนแรงจากพื้นที่บริเวณรูปตัว ก ครอบคลุมรอบๆกรุงเทพฯ และบริเวณพื้นที่แหลมตะลุมพุก-บ้านนาทับ อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมจัดทำแนวทางการลดผลกระทบจากปัญหาการกัดเซาะอันเนื่องมาจากคลื่นลมแรงตามฤดูกาล บริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทย 



จาก                :              แนวหน้า วันที่ 10 ตุลาคม 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #76 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2008, 01:07:32 AM »


ครม.เห็นชอบโครงการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเล

ครม.เห็นชอบโครงการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเล โดยประชาชนมีส่วนร่วม เป็นวาระเร่งด่วนสนองพระราชดำรัส

      นายสำราญ รักชาติ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลแลชายฝั่ง (ทช.) กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 ได้มีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  เป็นเจ้าภาพในการดำเนินการโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลโดยประชาชนมีส่วนร่วม และในส่วนของชายฝั่งทะเลกรุงเทพมหานคร ให้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประสานกับกรุงเทพมหานครและสำนักราชเลขาธิการเพื่อนำผลการศึกษาโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล บางขุนเทียนของกรุงเทพมหานคร กราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทด้วย

      อธิบดี ทช. กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบัน สถานการณ์การกัดเซาะชายฝั่งทะเลของประเทศมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้น ทั้งจากการกระทำของคน โดยการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินชายฝั่ง การก่อสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ โดยปราศจากการคำนึงถึงผลกระทบต่อบริเวณใกล้เคียง ประกอบกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของคลื่นลมทั้งขนาดและทิศทางที่โถมซัดเข้าสู่ฝั่ง ทิศทางของกระแสน้ำ รวมทั้งระดับน้ำทะเลในอนาคตที่อาจสูงขึ้นจากปรากฏการณ์ภาวะโลกร้อน
 
     จากเหตุดังกล่าว จึงจำเป็นต้องมีการเร่งดำเนินโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลโดยประชาชนมีส่วนร่วม เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะในด้านการป้องกัน การมีส่วนร่วมและการสร้างองค์ความรู้ การถ่ายทอดลงสู่ชุมชนชายฝั่ง กระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวในการเตรียมพร้อมการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพคลื่นลม ภูมิอากาศที่อาจส่งผลกระทบรุนแรง และเกิดผลกระทบต่อพื้นที่ที่อาจยังไม่เกิดการกัดเซาะในปัจจุบัน  เพื่อให้มีหน่วยงานหลักในการปฏิบัติงานตามแผนยุทธศาสตร์ และความชัดเจนของหน่วยปฏิบัติในยุทธศาสตร์ด้านต่างๆ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเชิงบูรณาการ ซึ่งจำเป็นต้องใช้วิธีการที่ผสมผสาน เนื่องจากการแก้ไขโดยใช้โครงสร้างทางวิศวกรรม (Hard Solution) เพียงอย่างเดียวไม่สามารถทานแรงของคลื่นลมได้   และเพื่อให้ประชาชนชายฝั่งที่ได้รับผลกระทบจากการกัดเซาะโดยตรง ได้มีความรู้ความเข้าใจและมีส่วนร่วมในกระบวนการป้องกันและแก้ไข เกิดการดำเนินโครงการนำร่องในพื้นที่ที่มีลักษณะชายฝั่งแตกต่างกัน ในลักษณะการวิจัยเชิงปฏิบัติร่วมกันกับชุมชน (Research Experience) โดยเฉพาะการป้องกันและแก้ไขปัญหากัดเซาะชายฝั่งโดยระบบโครงสร้างตามธรรมชาติ (Soft Solution)
 
       โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลโดยประชาชนมีส่วนร่วม ซึ่งมติคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้วนั้น มีประเด็นสำคัญคือ  ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานหลักในการปฏิบัติงานเชิงบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้สามารถดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหากัดเซาะชายฝั่งให้สัมฤทธิ์ผลอย่างเป็นรูปธรรมตามแผนยุทธศาสตร์ โดยมีหน่วยงานที่ร่วมดำเนินการ ดังนี้

        - กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ดำเนินการเรื่องแผนหลัก การสร้างองค์ความรู้และการให้ความรู้แก่ประชาชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในบริเวณชายฝั่งทะเลของประเทศ รวมทั้งดำเนินงานลักษณะการมีส่วนร่วมกับประชาชนในด้านการป้องกัน ได้แก่ การเสริมสร้างฟื้นฟูแนวชายฝั่งด้วยระบบธรรมชาติทั้งป่าชายเลนและป่าชายหาด เพื่อลดความรุนแรงของคลื่นลม ตลอดจนการแปลงแผนยุทธศาสตร์ลงสู่แผนปฏิบัติการในพื้นที่

       - กรมทรัพยากรธรณี ดำเนินการพัฒนาและปรับปรุงระบบฐานข้อมูลพื้นที่ชายฝั่ง เพื่อใช้ในกระบวนการตัดสินใจ วางแผนและดำเนินการ

       - สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สนับสนุนจังหวัดชายฝั่งทะเลบรรจุแผนปฏิบัติในการป้องกันแก้ไขปัญหากัดเซาะไว้ในแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมระดับจังหวัด และกำหนดให้พื้นที่ชายฝั่งทะเลที่มีความเสี่ยงต่อการกัดเซาะ รวมทั้งพื้นที่ป่าชายเลน และหาดทรายเป็นพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม และ/หรือกำหนดมาตรการเพิ่มเติม เพื่อหยุดยั้ง/ชะลออัตราการกัดเซาะชายฝั่ง รวมทั้งกำหนดให้กิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวชายฝั่งต้องศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น หรือจัดทำแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมก่อนการดำเนินโครงการ

       - ประสานหน่วยงานระดับปฏิบัติในการลงทุนด้านโครงการป้องกันแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่ต้องมีการก่อสร้างทางวิศวกรรม เช่น กรมขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี กระทรวงคมนาคม กรมโยธาธิการและผังเมือง จังหวัดชายฝั่ง กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณให้โครงการป้องกันแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง เป็นโครงการตามแผนบูรณาการงบประมาณ โดยสำนักงบประมาณเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการและประเมินผลจากโครงการลงทุนป้องกันแก้ไขอย่างเป็นระบบ

       - เสริมสร้างบุคลากรในระบบราชการและการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล วิศวกรรมชายฝั่ง วิทยาการจัดการชายฝั่งแบบบูรณาการ โดยการให้ทุนการศึกษาทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้มีบุคลากรในวิชาชีพที่ขาดแคลนมาปฏิบัติราชการ ในงานราชการทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ที่มีพื้นที่อยู่ในจังหวัดชายฝั่งทะเล และเกาะ เป็นต้น

       การดำเนินการโครงการดังกล่าว ประกอบด้วย 
 
1) การแปลงแผนยุทธศาสตร์ไปสู่แผนปฏิบัติ โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน แบ่งเป็นชายฝั่งภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ตอนบน และภาคใต้ตอนล่าง
 
2) การสร้างองค์ความรู้ การถ่ายทอดโดยกระบวนการสัมมนา ประชุมปรึกษาหารือ ร่วมจัดทำโครงการนำร่องทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ท้องถิ่น ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรพัฒนาชุมชน ภาคเอกชน

3) ประสานทุกภาคส่วนในการผลักดันให้เกิดมาตรการต่างๆ ในพื้นที่ที่จะลดอัตราการกัดเซาะชายฝั่ง หรือชะลอการกัดเซาะ จากการควบคุมปัจจัยที่เป็นเหตุให้เกิดการกัดเซาะ เช่น การก่อสร้างบริเวณชายฝั่ง การเปลี่ยนการใช้ที่ดิน โดยผ่านคณะอนุกรรมการกำกับแผนหลักและแผนปฏิบัติ ภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ รวมทั้งการประสานให้เกิดการบูรณาการงบประมาณในโครงการป้องกันแก้ไข  การพัฒนาระบบฐานข้อมูล และการประเมินผลภายหลังในโครงการที่มีความเสี่ยงต่อการกัดเซาะ

4) สร้างกลไกเครือข่ายผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการป้องกันแก้ไขที่เป็นระบบและถูกหลักวิชาการ โดยเป็นการป้องกันที่ใช้ศักยภาพของธรรมชาติมากกว่าโครงสร้างแข็งที่จะต้านกระแสคลื่นในทะเลซึ่งมีการลงทุนสูง เน้นกระบวนการธรรมชาติสู้กับธรรมชาติ ลดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งไม่ให้ลุกลามต่อเนื่องไปยังพื้นที่ข้างเคียง และต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของทะเลที่มีผลจากภาวะโลกร้อนด้วย และ

5) การสร้างเครือข่ายภาคเอกชนให้มีส่วนร่วมในการดูแลรักษาชายฝั่ง โดยให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนระบบป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่เหมาะสม และ/หรือดูแลรักษา โดยอาจพิจารณาให้สิทธิบางประการแก่เอกชนที่เข้าร่วมโครงการ เช่น การให้สิทธิในการสร้างกังหันลมเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า และการจอดเรือ เป็นต้น  โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 พ.ศ. 2552 – 2554 และระยะที่ 2 พ.ศ. 2555 – 2560

       “ผลจากการดำเนินการดังกล่าว  นอกจากจะทำให้เกิดความเข้าใจในวงกว้าง ทุกภาคส่วนในพื้นที่ชายฝั่งทะเลทั่วประเทศทั้งหมด  มีเจ้าภาพหลักในการปฏิบัติงานเชิงบูรณาการและมีความชัดเจนในหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงาน  มีแผนปฏิบัติระดับพื้นที่ที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์หลัก  และผู้เกี่ยวข้องมีการเตรียมพร้อมในการรับมือและการป้องกันพื้นที่ของตนเองจากแนวโน้มของการกัดเซาะที่จะเกิดขึ้นในอนาคตแล้วประชาชนยังจะได้มีความเข้าใจต่อสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาการกัดเซาะ และพร้อมที่จะร่วมมือป้องกันและแก้ไขในกรอบที่มีหลักวิชาการต่อไป” อธิบดี ทช. กล่าว



จาก            :          กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #77 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2008, 12:43:19 AM »


เทศบาลนครสงขลา จับมือ ม.อ.หาดใหญ่ ใช้ "ปะการังเทียม" กันคลื่นกัดเซาะชายฝั่ง
 
 


ผลกระทบจากปัญหาคลื่นกัดเซาะชายฝั่งทะเลทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน ทำให้หน่วยราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในหลายพื้นที่ต่างคิดหาวิธีการเพื่อบรรเทาความแรงของคลื่นเพื่อพิทักษ์แนวชายหาดให้พ้นจากภัยธรรมชาติอย่างสุดความสามารถ

เช่นเดียวกับ นายอุทิศ ชูช่วย นายกเทศมนตรีนครสงขลา พยายามหาทางป้องกันมาตลอดหลังประสบปัญหาคลื่นกัดเซาะชายหาดชลาทัศน์ (หาดสมิหลา) โดยกัดเซาะรุนแรงกินความยาวประมาณ 400 เมตร เริ่มตั้งแต่ชุมชนเก้าเส้งจนถึงหน้าฐานทัพเรือสงขลา

 ในช่วงที่ผ่านมา เทศบาลนครสงขลาได้พยายามหาทางป้องกัน เช่น การสร้างเขื่อนกันคลื่น แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ดังนั้น จึงพยายามแสวงหาความร่วมมือจากหน่วยงานผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการและยั่งยืน

 ล่าสุด มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้ทำการศึกษาวิจัยหาแนวทางการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลแบบบูรณาการภายใต้ชื่อ “โครงการสำรวจ และศึกษาการเปลี่ยนแปลงของตะกอนชายฝั่งทะเล” โดยการสนับสนุนของกรมทรัพยากรธรณี

 โครงการดังกล่าวเพื่อศึกษาวิจัยความเป็นไปได้ในการประยุกต์ "ปะการังเทียม" มาใช้ในการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะล โดยออกแบบปะการังให้มีรูปทรงและขนาดที่สามารถต้านทานแรงคลื่นได้

 นายกเทศมนตรีนครสงขลาระบุว่า การวางปะการังเทียมจะช่วยแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งได้อย่างถาวรเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีอื่นๆ ทั้งยังไม่ทำลายทัศนียภาพ และจะช่วยให้ปลาชุกชุม เพราะเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำอีกด้วย

 เบื้องต้นพบว่า โครงการดังกล่าวประชาชนก็ให้การสนับสนุนด้วยดี ส่วนงบประมาณทางเทศบาลนครสงขลาก็พร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชน

 ด้าน ผศ.พยอม รัตนมณี อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในฐานะหัวหน้าโครงการสำรวจ และศึกษาการเปลี่ยนแปลงของตะกอนชายฝั่งทะเล (กรณีศึกษาหาดสมิหลา จ.สงขลา) ระบุว่า

 การกัดเซาะชายฝั่งทะเลของประเทศไทยเป็นปัญหาระดับชาติ ซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องรุนแรง หาดสมิหลาเป็นพื้นที่หนึ่งที่ประสบปัญหาการกัดเซาะอย่างรุนแรงและเรื้อรังมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่ปี 2545 จึงได้หาทางป้องกันอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จ

 ส่วนวิธีการหาทางแก้ไขคลื่นกัดเซาะได้มีความพยายามหาทางป้องกันด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การป้องกันชายหาดด้วยเขื่อนกันคลื่น กำแพงกันคลื่น รอดักทราย กองหินหัวหาด แนวเสาเข็มกันคลื่น ไส้กรอกทราย ฯลฯ

 รวมทั้งวิธีการง่ายๆ เช่น การเสริมทราย การปลูกป่าชายหาด การกำหนดระยะถอยร่น เป็นต้น แต่ก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

 แต่ผลการวิจัยพบว่า การใช้ปะการังเทียมสามารถป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งได้ ซึ่งเป็นแนวความคิดใหม่สำหรับประเทศไทย แต่ในต่างประเทศได้มีการศึกษาในสถาบันวิจัยระดับสูงหลายแห่ง และมีการนำไปใช้จริงในหลายพื้นที่ทั่วโลก!!



 ปะการังเทียมดังกล่าวจะถูกออกแบบให้เป็น "แนวกันคลื่นใต้น้ำ" เพื่อบรรเทาความรุนแรงของคลื่น จะไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ข้างเคียง ทั้งยังสามารถเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ และไม่ทำลายทัศนียภาพของชายหาดอีกด้วย

 สำหรับปัญหาคลื่นกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทยอย่างรุนแรง และกินความยาวกว่า 600 กิโลเมตร ทีมสำรวจได้ศึกษาการใช้ปะการังเทียมป้องกันการกัดเซาะ จึงนำชายหาดสมิหลามาเป็นกรณีศึกษา และเป็นพื้นที่โครงการนำร่องของประเทศไทย

 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโครงการนี้เป็นของใหม่ จึงจำเป็นต้องทำการศึกษาวิจัยอย่างละเอียด เพื่อใช้ในการออกแบบ และการจัดวางให้มีความเหมาะสมถูกต้องตามหลักวิชาการ

 ทั้งนี้ เนื่องจากการศึกษาทางด้านทะเลมีความซับซ้อนอย่างมาก คณะผู้ศึกษาวิจัยจึงได้ทำแบบจำลองทางกายภาพ (Physical Model) ที่ห้องปฏิบัติการวิศวกรรมชลศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์

 ขณะนี้มหาวิทยาลัยกำลังดำเนินการศึกษาวิจัยภายใต้การสนับสนุนของกรมทรัพยากรธรณี โครงการนำร่องที่ชายหาดสมิหลากำลังอยู่ระหว่างการหารือกับชาวบ้านชุมชนเก้าเส้ง และคาดว่าประมาณปีหน้า (2552) จะสามารถทำการวางปะการังเทียมดังกล่าวได้

 เชื่อว่าความคิดริเริ่มของผู้บริหารเทศบาลนครสงขลา ประกอบกับความตั้งใจจริงของทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จะทำให้โครงการนี้ประสบผลสำเร็จ และเป็นประโยชน์ต่อคนสงขลา ตลอดจนคนริมฝั่งทะเลทั่วประเทศในอนาคตอย่างแน่นอน

 

จาก                :              คม ชัด ลึก วันที่ 13 ตุลาคม 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #78 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2008, 12:57:43 AM »


แผ่นดินทรุด-น้ำท่วม ป่าชายเลนหดหาย เรื่องเดียวกับ "โลกร้อน"



ปัญหา "โลกร้อน" กับผลกระทบวงกว้างเป็นที่โจษขาน เป็นหัวข้อพูดกันมาต่อเนื่อง รวมถึงสำนักวิทยาศาสตร์ ราชบัณฑิตไทย ยังต้องจัดให้มีการประชุมราชบัณฑิตพร้อมการบรรยายเรื่อง "ผลกระทบจากโลกร้อน ที่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชายฝั่งทะเลไทย" โดย ดร.สนใจ หะวานนท์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านจัดการทรัพยากรทางชายฝั่งและป่าชายเลน เมื่อเร็วๆ นี้ ที่โรงเรียนสมฤดี จังหวัดสมุทรสาคร

ดร.สนใจสร้าง ความเข้าใจในเรื่องโลกร้อนว่า มีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ต่อประชาชนตามชายฝั่งทะเลไทย มีผลต่อคนกว่า 20 ล้านคน ที่พักอาศัยตลอดแนวชายฝั่งทะเล ทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นกว่า 1 องศาเซลเซียส ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ในอดีตโลกปรับตัวมาได้ แต่ปัจจุบันมีการเติบโตของอุตสาหกรรมมากขึ้น ปริมาณก๊าซเสีย คาดว่า ภายในศตวรรษที่ 21 จะมีอุณหภูมิสูงอีกร่วม 6 องศาเซลเซียส นำไปสู่การเกิดพายุหมุนและความปั่นป่วนทางธรรมชาติมากขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกละลายจนหมด ส่งผลกระทบต่อน้ำทะเลสูงมากขึ้นเรื่อยๆ จะส่งผลต่อการผลิตอาหารจากธรรมชาติ แหล่งน้ำในหน้าร้อนจะหมดไป โรคระบาดจะรุนแรงยุงจะเพิ่มมากขึ้น แผ่นดินไหว รอยเลื่อนจะได้รับการกระทบกระเทือนมากขึ้น แผ่นดินไหว สึนามิจะมากขึ้น ภูเขาไฟจะระเบิดบ่อยขึ้น และอาจมีเมกกะสึนามิ จนส่งผลกระทบไปถึงที่สูง นั่นฝนตกมากขึ้นน้ำท่วมในแถบที่สูงด้วย



จาก การสำรวจและรวบรวม ได้พบว่าพื้นที่ชายฝั่งทะเลไทยมีดินทรุดตามปากแม่น้ำ เจ้าพระยา (ทรุดลง 20 มิลลิเมตร/ปี) แม่กลอง (ทรุดลง 15 มม./ปี) ท่าจีน (ทรุดลง 42มม./ปี) และยังพบว่าในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ มีการทรุดตัวลงปีละ 30 มม. ด้วยเช่นกัน

"แม้ว่าภาวะโลกร้อนอาจยังไม่ส่งผลโดยตรงถึง เมืองไทยในเวลานี้ แต่ที่มีผลคือ ลม คลื่นที่แรงขึ้นมีการกัดเซาะชายฝั่งที่ยาว 2,815 กม. ครอบคลุมพื้นที่ 23 จังหวัด พบว่า ในบริเวณทางอ่าวไทยมีพื้นที่วิกฤตที่มีการกัดเซาะเฉลี่ยมากกว่า 5 เมตร/ปี มีอยู่ใน 12 จังหวัดรวมความยาว 180.9 กม. พื้นที่เสี่ยงที่มีอัตรากัดเซาะ 1-5 เมตร/ปี ใน 14 จังหวัด อีก 305.1 กม. ส่วนทางอันดามันมีพื้นที่วิกฤตที่มีการกัดเซาะเฉลี่ยมากกว่า 5 เมตร/ปี มีอยู่ใน 5 จังหวัดรวมความยาว 23 กม. พื้นที่เสี่ยงที่มีอัตรากัดเซาะ 1-5 เมตร/ปี ในทุกจังหวัดอีก 90.5 กม.ปัญหามาจากการใช้ประโยชน์ไม่เหมาะสม ปริมาณตะกอนสะสมน้อยลง การพัฒนาใช้ที่ดินขาดระบบข้อมูลพื้นฐานมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ สูง" ดร.สนใจระบุ

ผู้เชี่ยวชาญคนดังกล่าวระบุด้วยว่า เมื่อสรุปภาพรวมของรายจังหวัดที่ประสบปัญหามากพบว่าที่สมุทรปราการชายถูกกัด เซาะไปกว่า 8,575 ไร่ ความยาว 32.87 กม., กรุงเทพฯ 1,612 ไร่ ยาว 4.8 กม., สมุทรสาคร 1,306 ไร่ ยาว 26.37 กม. รวมทั้งประเทศมีถึง 11,768 ไร่ โดยพบว่าพบพื้นที่กัดเซาะรุนแรงอยู่ใน พื้นที่แหลมฟ้าผ่า-ปากน้ำท่าจีน คลองด่าน-สมุทรปราการ บางพลัด กาหลง ฯลฯ

"แถบสมุทรสาครป่าชายเลนอาจ หมดไปเร็วๆ นี้ เพราะการทำนากุ้ง มีการขุดดินตะกอนจากนากุ้งที่เข้ามาจากทะเลไปขาย ไปถมที่อื่น ซึ่งจะมีการทำกันเช่นนี้ในนากุ้งทุกแห่ง ทำให้ดินตะกอนชายฝั่งหายไป และเคยพบว่าในพื้นที่ จ.สมุทรสงคราม ไม่มีพื้นที่ดินตะกอนเหลืออยู่เลย เมื่อไม่กี่ปีก่อน ยิ่งเมื่อรวมกับการกัดเซาะตามธรรมชาติ ก็ยิ่งทำให้ไม่มีการทำแนวป้องกันชายฝั่ง" นายสนใจกล่าว และว่า การแก้ไขนั้น คงต้องเน้นลงที่ภาคประชาชนให้ตื่นตัว และตระหนักต่อความสำคัญของการอนุรักษ์ชายฝั่ง ปลูกป่าเพื่อรักษาพื้นที่ชายฝั่งไว้ให้ได้มากที่สุด ในขณะเดียวกับที่จะต้องหามาตรฐานทางกฎหมาย และภาครัฐให้มากขึ้น

"มี การนำเอาไม้ไผ่รวกไปเสียบไว้เป็นระยะเพื่อแก้ปัญหาตลอดแนว แต่พบว่ามีปัญหา เพราะขนาดเล็กเสียหายเร็ว แต่ถ้าแก้โดยการทำสองชั้นจะช่วยแก้ปัญหาได้ ลดการกัดเซาะเพิ่มปริมาณตะกอน ที่น่าสนใจคือ กรณีพระสมุทรเจดีย์ ปากน้ำ มีการนำเสาไฟฟ้ามาปัก ใช้ยางรถยนต์เก่ามาสวม 7 ชั้น จากปี 2548 มาห่างกัน 1.5 เมตร พบว่าลดการกัดเซาะลงไปได้ เพิ่มตะกอนมากขึ้นตุลาคม 2550 ตะกอนเพิ่ม 7 ซม. แต่ยังไม่สามารถปลูกต้นไม้ได้ดี" นายสนใจกล่าว

ดร. สันทัด โรจนสุนทร ประธานสำนักวิทยาศาสตร์ ราชบัณฑิตสถาน กล่าวว่า ราชบัณฑิตเห็นความสำคัญของปัญหาโลกร้อน ที่ส่งผลถึงการกัดเซาะที่ดินชายฝั่งของไทย จึงได้มาจัดประชุมนอกพื้นที่เป็นครั้งแรกของราชบัณฑิต และไปศึกษาข้อมูลการปลูกป่าชายเลนภาคประชาชน ที่ศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลน ต.คลองโคน อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯทรงปลูกไม้ป่าชายเลนด้วยพระองค์เองหลายครั้ง ทรงเป็นผู้นำในเรื่องนี้ จนชาวบ้าน หน่วยงานราชการ เอกชนตื่นตัว และร่วมมือกัน เกิดความเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าชายเลนของสมุทรสงครามอย่างมาก จนวันนี้ได้มีพื้นที่ป่าชายเลนเพิ่มขึ้นหลายพันไร่ จากเดิมที่แทบไม่มีเหลือเลย




จาก                :              มติชน วันที่ 16 ตุลาคม 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #79 เมื่อ: ตุลาคม 22, 2008, 12:56:30 AM »


กทม.เสนอคนบางขุนเทียนใช้เสาปูนหินทิ้งกันทะเลเซาะ
 
 
       กทม.เสนอใช้รูปแบบเสาปูน-หินทิ้ง แทนไส้กรอกทรายเจ้าปัญหากันน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่งบางขุนเทียนแล้ว ขณะที่ชาวชุมชนยังไม่สรุปจะเอาหรือไม่ บอกทดลองเขื่อนไม้ไผ่ค่อนข้างได้ผล เผย 8 เดือน ตะกอนดินเพิ่ม 1.50 เมตร ปลูกไม้โกงกางได้ 5 พันต้น
       
       แหล่งข่าวจากสำนักการระบายน้ำ (สนน.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ สนน.ได้ยกเลิกการเสนอรูปแบบไส้กรอกทรายที่ใช้ในการก่อสร้างแนวกันคลื่น (ทีกรอยน์) ป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลบางขุนเทียนระยะทาง 5 กิโลเมตรแล้ว เนื่องจากชาวบ้านเกรงว่าหากสร้างแบบไส้กรอกทรายในระยะยาวจะทำให้ทรายแตกและ ทำลายระบบนิเวศชายฝั่งได้ ซึ่ง สนน.ได้รับฟังและกลับมานำเสนออีก 2 รูปแบบ คงรูปตัวทีเหมือนเดิม คือ แบบที่ 1 เป็นเสาปูนซีเมนต์ความสูง 2 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.80 เมตร บริเวณฐานของเสาที่ปักลงในหาดโคลนเป็นรูปสามเหลี่ยมความกว้าง 9.50 เมตร เพื่อใส่หินขนาดเล็กลงไปในสามเหลี่ยม และโยนหินทิ้งขนาดใหญ่บริเวณรอบๆหัวเสา โดยหัวเสาจะมีการหล่อปูนแผ่นขนาดใหญ่ครอบหัวเสาเพื่อวางหินขนาดใหญ่เป็นรูป 3 เหลี่ยมป้องกันคลื่นด้วย ซึ่งความห่างแต่ละตัวห่างกัน 300 เมตร ส่วนแบบที่ 2 เป็นการปรับความห่างของเสาให้เหลือระยะห่างกันเพียง 50 เมตร นอกนั้นโครงสร้างต่างๆเหมือนแบบแรกทั้งหมด เนื่องจากชาวบ้านเห็นว่ามีความห่างกันเกินไป จะทำให้น้ำกัดเซาะบางพื้นที่เสียหาย อย่างไรก็ตาม จะมีการประชุมกลุ่มย่อยกับแกนนำชุมชนภายในต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยจะมีการเชิญสำนักงบประมาณเข้ามาร่วมชุมนุมรับฟังด้วย เนื่องจากงบเดิมตั้งไว้ที่ 316 ล้านบาท แต่รูปแบบใหม่นี้จะต้องใช้งบประมาณมากขึ้น และหลังจากนั้นภายใน 1 สัปดาห์จะมีการประชาพิจารณ์กับชาวบ้าน ว่าต้องการให้ กทม.สร้างในรูปแบบใดซึ่ง สนน.พยายามจะทำให้ดีที่สุดและใช้งบอย่างเหมาะสมที่สุด
       
       ด้านนายคงศักดิ์ ฤกษ์งาม แกนนำชุมชนคลองพิทยากรณ์ กล่าวว่า ขณะนี้ ชาวบ้านได้มีการประชุมเพื่อหารือถึงวัสดุในการก่อสร้างแนวกันคลื่นที่ กทม. เสนอมาแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะเอารูปแบบใด หรือาจจะไม่เอาที่ กทม. เสนอมาเลยก็เป็นได้ ทั้งนี้ จากการทดลองสร้างเขื่อนไม้ไผ่ระยะทาง 1 กม.เป็นแนวกันคลื่นของชาวบ้าน ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา พบว่า ค่อนข้างได้ผล โดยมีตะกอนดินเพิ่มขึ้นประมาณ 50 เซนติเมตร นอกจากนี้ บริเวณใกล้ห่างกันไป 3 กม.ติดกับ จ.สมุทรสาคร ยังมีการทดลองเขื่อนไม้ไผ่เช่นเดียวกัน โดยแบ่งเป็น 3 ชั้น ชั้นแรกห่างจากชายฝั่ง 20 เมตร ชั้น ที่ 2 และ ชั้นที่ 3 ห่างกันชั้นละ 30 เมตร ซึ่งระยะเวลา ผ่านไป 8 เดือน มีตะกอนดินตกในชั้นต่างสูงถึง 1.50 เมตร ทำให้ชาวบ้านบริเวณดังกล่าวสามารถนำต้นแสม ต้น โกงกางไปปลูกในตะกอนดินที่เพิ่มขึ้นจำนวนกว่า 5 พันต้นแล้ว ซึ่งเป็นที่ชอบใจของชาวบ้านผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันในระยะยาวต้องดูเรื่องความแข็งแรงของเขื่อนไม้ไผ่ด้วย



จาก                :              ผู้จัดการออนไลน์   วันที่ 20 ตุลาคม 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #80 เมื่อ: ตุลาคม 26, 2008, 01:20:01 AM »


"คลื่นยักษ์" ถล่มถ.ริมหาดสุราษฎร์ฯเสียหายหนัก 1กม.ถนนขาด เตือนรับมือ 24 ชม.



เกิดคลื่นขนาดใหญ่พัดถล่มถนนริมทะเล จ.สุราษฎร์ธานี สร้างความเสียหายเป็นระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร เตือนประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยตามแนวชายหาด เตรียมพร้อมรับสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูง และลมกระโชกแรงตลอด 24 ชั่วโมง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดคลื่นขนาดใหญ่พัดถล่มถนนริมทะเล จ.สุราษฎร์ธานี สร้างความเสียหายเป็นระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร ทำให้รถขนาดใหญ่ไม่สามารถผ่านได้

ล่าสุดเจ้าหน้าที่นำเครื่องจักรกลหนักเข้ามาซ่อมแซมถนนสายบ้านพอด-ดอนสัก อ.ดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี หลังถูกคลื่นขนาดใหญ่พัดถล่มพังเสียหายหนัก เป็นระยะทางยาวกว่า 1 กิโลเมตร รถยนต์ 4 ล้อ ไม่สามารถผ่านได้ พร้อมจัดวางหินขนาดใหญ่เป็นแนวป้องกันคลื่นกัดเซาะทำลาย ก่อนสำรวจออกแบบก่อสร้างแนวป้องกันคลื่นถาวร นอกจากนี้ ทางจังหวัดยังเตือนประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยตามแนวชายหาด เตรียมพร้อมรับสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูง และลมกระโชกแรง ตลอด 24 ชั่วโมง



จาก                :              มติชน   วันที่ 26 ตุลาคม 2551
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 26, 2008, 02:08:37 AM โดย สายชล » บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #81 เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2008, 01:13:54 AM »


กรมทะเลทุ่มงบ 40 ล้าน ปักไม้ไผ่ปลูกป่าชายเลน แก้กัดเซาะลดโลกร้อน



กรมทรัพยากรทะเลทุ่มงบ 40 ล้านลงทุนพื้นที่สาธิตลดโลกร้อน ที่สถานตากอากาศบางปู นักวิชาการติงใช้งบประมาณไม่คุ้มอาจไม่สามารถแก้ปัญหาโลกร้อนได้

นายสำราญ รักชาติ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โครงการมาตรการบรรเทาผลกระทบจากวิกฤติโลกร้อน พื้นที่สาธิตที่บางปู จ.สมุทรปราการ โดยมีบริษัท เอ. แอนด์ มารีน (ไทย) จำกัด ได้รับการคัดเลือกดำเนินการวงเงิน 40 ล้านบาท   

การเลือกพื้นที่สถานตากอากาศบางปู เนื่องจากเป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ด้านป่าชายเลนที่มีเยาวชน และประชาชนทั่วไปเข้ามาศึกษาและเรียนรู้อยู่แล้ว ขณะเดียวกันยังเป็นพื้นที่มีปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเฉลี่ย 10 เมตรต่อปีด้วย ซึ่งโครงการนี้เป็นหนึ่งในแผนโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรดินและป่าไม้ในพื้นที่ อนุรักษ์เพื่อลดผลกระทบภาวะวิกฤติโลกร้อนประจำปี 2551  ซึ่งได้รับงบ 60 ล้านบาทแบ่งเป็น 20 ล้านบาทปลูกป่าชายเลน จำนวน 5 , 000 ไร่ และอีก 40 ล้านบาทสำหรับการทำพื้นที่สาธิตที่บางปู



นายสำราญ กล่าวอีกว่า   โครงการนี้จะใช้แนวคิดธรรมชาติสู้ธรรมชาติ อาศัยหลักการปัก 3 อย่างคือการปักไม้ไผ่ ป่าชายเลน และกังหันลม เพื่อป้องกันการพังทลายของชายฝั่งและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ใช้แนวป้องกันชายฝั่งจากไม้ไผ่ ยาว 700 เมตร ซึ่งได้รับรองจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้วว่าสามารถชะลอความแรงของคลื่นนอก จากนี้จะมีการจัดทำ บ่อบำบัดน้ำเสีย โดยใช้ระบบพลังงานลม จำนวน 4 บ่อ พื้นที่บ่อละ 400 ตารางเมตร   ซึ่งจุดนี้จะ ใช้กังหันลมเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานลม ขนาด 5 กิโลวัตต์จำนวน 9 ต้น คาดว่าจะได้พลังงาน 45 กิโลวัตต์

รศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล อาจารย์ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า   ฟังจากโครงการคร่าวๆ ยังมองไม่ออกว่าเรื่องนี้สามารถแก้ปัญหาโลกร้อนได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการสาธิตการแก้ปัญหาโลกร้อน โดยการเอาไม้ไผ่มาปักกันคลื่นกัดเซาะนั้น ไม่จำเป็นต้องสาธิตอีกแล้ว เพราะในบริเวณดังกล่าวโดยเฉพาะที่คลองด่านทำกันมาหลายปีแล้ว และหลายพื้นที่ที่ใช้ไม้ไผ่กันคลื่นก็มีปัญหา เพราะไม้ไผ่มีอายุการใช้งานน้อย และมีปัญหามากมาย

"เสียดายเงิน 4 ล้าน สำหรับสาธิตการใช้ไม้ไผ่กันคลื่น และ 40 ล้าน สำหรับทำการสาธิตแก้ปัญหาโลกร้อนทั้งหมด ดูแล้วใช้งบไม่คุ้มค่าเลย" รศ.ดร.ธนวัฒน์กล่าว


จาก                :              กรุงเทพธุรกิจ   วันที่ 9 พฤศจิกายน 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #82 เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2008, 01:09:12 AM »


กัดเซาะชายฝั่งทะเล จากตะวันออกสู่ภาคใต้ ถึงเวลาจัดการปัญหาอย่าง"บูรณาการ"สักที ?



คณะกรรมาธิการการ (กมธ.) ป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติและสาธารณภัย สภาผู้แทนราษฎร ถือเป็น กมธ.ชุดใหม่ล่าสุด ที่รัฐสภาดำริให้จัดตั้งขึ้น ซึ่งมีนายสรวงศ์ เทียนทอง ส.ส.สระแก้ว เป็นประธาน กมธ.ชุดนี้

แม้เป็นงานใหม่ แต่ กมธ.สนใจปัญหาภัยพิบัติจากธรรมชาติและสาธารณภัยอย่างมาก มีการเชิญหน่วยงาน บุคคล ทั้งภาครัฐ-เอกชนมาให้ความรู้และชี้แจงข้อเท็จจริงหลายครั้ง อาทิ ภัยจากน้ำท่วม อากาศหนาวเย็น การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลก การวางแผนแก้ปัญหาภัยธรรมชาติทางบก ทางทะเล การกู้ภัย บรรเทาทุกข์ จากหน่วยงานอย่างป่อเต็กตึ๊ง ร่วมกตัญญู มาพูดคุย จนทำให้รู้ว่า ปัจจุบันการกู้ภัยและแย่งกันทำความดีนั้น มิได้เกิดมาจากองค์กรขนาดใหญ่ แต่สืบเนื่องจากการเปิดให้มีการจัดตั้งหน่วยกู้ภัยขนาดเล็กอย่างดาษดื่น ไร้การควบคุม

ล่าสุด แนวคิดติดตามศึกษาปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลไทย ตลอดแนวอ่าวไทย และฝั่งทะเลด้านอันดามัน ซึ่งมีปัญหาแทบทุกพื้นที่ เมื่อเร็วๆนี้ ที่รัฐสภา กรมทรัพยากรธรณีรับผิดชอบงานนี้มายาวนาน ระบุชัดว่า ความเสียหายของชายฝั่งทะเลไทย มีจุดวิกฤตน่าวิตกอย่างมาก ตลอดทุกแนวมากบ้างน้อยบ้าง สาเหตุจากการพัฒนาการท่องเที่ยว สร้างอาคารสูง นิคมอุตสาหกรรม การลดปริมาณตะกอนสะสมตัวตามแนวชายฝั่ง พายุ คลื่น และปัญหาโลกร้อน ล้วนทำให้พื้นที่ชายฝั่งทะเลโดนกัดเซาะหดหายกว่า 70% นับตั้งแต่ จ.สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม กรุงเทพฯ ฉะเชิงเทรา เป็นระยะทางร่วม 60 กม.จากระยะทางชายฝั่งทั่วประเทศ



หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี สำนักนโยบายและแผน สิ่งแวดล้อมกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร่วมเสนอทางแก้ไขปัญหาที่แต่ละหน่วยงานได้กระทำไปแล้ว หลากหลายวิธีการ ตามแนวคิด วิธีการศึกษา ระบบงาน พื้นที่ที่แตกต่างกันไปตามภาระหน้าที่

โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร มีพื้นที่ชายฝั่งทะเลแถบบางขุนเทียน ความยาว 4.7 กม. แต่กลับเป็นหน่วยงานระดับองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นที่ได้ทุ่มเทงบประมาณหลาย ร้อยล้าน และความตั้งใจจริงจะแก้ปัญหาต่อเนื่องจริงจัง ให้บรรเทาความเสียหายจากการกัดเซาะลงไปได้มาก

นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ รองประธาน กมธ. ติดตามปัญหาและเสนอแนวคิดนี้สู่ที่ประชุม ให้ข้อคิดสำคัญว่า ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล ถ้าเปรียบเทียบเฉพาะพื้นที่ จะพบความรุนแรงและวิกฤต เรียกได้ว่ามีการสูญเสียดินแดนอันเป็นผลจากธรรมชาติไปมาก มากกว่าการสูญเสียดินแดนแย่งชิงของคน ทุกหน่วยต้องเร่งจัดการแก้ไขปัญหาโดยเร็ว เพื่อมิให้ลุกลามเกิดสูญเสียไปมากกว่านี้



ที่น่าสนใจมากคือ แนวคิดของนายนิยม เวชกามา โฆษก กมธ.ชุดนี้ เป็น ส.ส.สกลนคร ระบุว่า แม้สกลนครไม่ใช่จังหวัดมีพื้นที่ติดชายฝั่งทะเล แต่ก็สนใจปัญหานี้มาก น่าวิตกต่อการสูญเสียพื้นที่ชายฝั่งทะเลอย่างต่อเนื่อง จึงอยากแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการ มีทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน มีหน่วยงานหลักทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพดูแลประสาน เอาใจใส่กับการแก้ปัญหา

ด้าน นายสฤษฏ์ อึ้งอภินันท์ รองประธาน กมธ.อีกคน ในฐานะ ส.ส.เชียงราย ตั้งคำถามต่อที่ประชุมว่า การแก้ปัญหาของนักวิชาการ หรือภูมิปัญญาท้องถิ่น แบบใดให้ผลที่ดีกว่ากัน เพราะหลายหน่วยงานที่มานำเสนอทางแก้ไข มีทั้งการนำแนวคิดมาจากนักวิชาการทั้งไทย-ต่างชาติ ซึ่งต้องลงทุนสูง กับแนวคิดของปราชญ์หรือชาวบ้านที่ใช้ไม้ไผ่ไปปักกันแนวคลื่นตามแนวชายฝั่ง กับขยายพื้นที่ปลูกป่าชายเลน และวิธีการอื่นๆ หลากหลายจากการเรียนรู้ภูมิปัญญาของชาวบ้าน

แม้คำตอบไม่ได้ลงระบุชัดเจนว่า แนวคิดใดดี ได้ผลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กมธ.ส่วนใหญ่ คิดคล้ายคลึงกันว่า ควรระดมทุกฝ่ายเร่งแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้องเหมาะสม ให้จริงจังในแต่ละพื้นที่ที่ประสบปัญหาโดยเร็ว

นายสรวงศ์สรุปต่อที่ ประชุมว่า ปัญหากัดเซาะชายฝั่งต้องเร่งแก้ทั้งหมดโดยเร็ และจริงจัง เป็นระบบอย่างบูรณาการโดยทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กมธ.จะเร่งรัดติดตามในเรื่องของ พ.ร.บ.ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เพื่อการแก้ไขเป็นไปอย่างมีระบบ มีกฎหมายรองรับการทำงาน นำไปสู่การจัดสรรงบฯ ที่ต้องติดตามนำมาช่วยสนับสนุน

"กมธ.หลายคน เป็นผู้แทนที่จังหวัดไม่ได้มีพื้นที่ติดชายฝั่ง ไม่ได้รับผลกระทบการกัดเซาะ แต่ถือเป็นผู้แทนของคนไทย มีปัญหาเดือดร้อน ทั้งจากภัยธรรมชาติ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ก็ต้องร่วมมือกันช่วยเหลือดูแล แก้ไขปัญหา กมธ.ชุดนี้ชื่อ คณะกรรมาธิการ การป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติและสาธารณภัย ทุกคนอยากระดมความคิดช่วยกันวางแผนป้องกันมิให้ปัญหากระทบบานปลายยิ่งกว่านี้"

ผู้แทนจากหน่วยราชการ เอกชนที่ร่วมประชุมในวันนี้ ได้เห็นความตั้งใจของ กมธ.แม้เป็นชุดใหม่ แต่ฉายความหวังสดใส ที่อยากเห็นการเอาใจใส่จากผู้เกี่ยวข้องเช่นนี้ ออกจากรัฐสภาด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม (น้อยๆ) ก็เติมความตั้งใจทำงานให้เดินหน้าต่อไปได้



จาก                :              มติชน คอลัมน์ Active Opinion  วันที่ 10 พฤศจิกายน 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #83 เมื่อ: มกราคม 15, 2009, 01:58:43 AM »


คลื่นสูงกว่า 2 ม.ถล่มบ้านชาวประมงที่สุราษฎร์ฯ

   

สุราษฎร์ธานี - คลื่นสูงกว่า 2 เมตร ซัดถล่มหมู่บ้านชาวประมงบ้านพอด อำเภอดอนสัก สุราษฎร์ธานี ทำให้ถนนริมทะเลเสียหายหนัก รถทุกชนิดไม่สามารถผ่านได้ ส่วนเรือเฟอร์รีข้ามเกาะสมุย ต้องลดเที่ยวเดินเรือ นักท่องเที่ยว ผู้ใช้บริการตกค้างเพียบ
       
       วันนี้ (14 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี ว่า ได้เกิดคลื่นสูงกว่า 2 เมตร ซัดเข้าถล่มหมู่บ้านชาวประมงบ้านพอด ม.1 ต.ชลคราม อ.ดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี ความแรงของคลื่นยังส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนประชาชน ที่อาศัยอยู่ริมทะเลกว่า 50 หลังคาเรือน ได้รับความเดือดร้อน กระสอบทรายที่ทหารค่ายวิภาวดี
       
       จัดทำแนวกันคลื่นกัดเซาะไว้ก่อนหน้านี้ ได้ถูกกระคลื่นพัดพาลงทะเล บ้านพัก และตัวอาคารได้รับความเสียหายไปแล้วบางส่วน นอกจากนั้น คลื่นยังกัดเซาะถนนสายริมชายหาดบ้านพอด–ดอนสัก พังเสียหายระยะยาวกว่า 1 กิโลเมตร รถทุกชนิดไม่สามารถผ่านได้ ซึ่งพื้นที่บ้านพอดเป็นพื้นที่เสี่ยงและเกิดเหตุซ้ำซาก

   
       
       ด้านเรือเฟอร์รีข้ามเกาะสมุย-เกาะพะงัน ต้องลดจำนวนเที่ยวเรือลง 2-4 เที่ยว เนื่องจากน้ำทะเลหนุนสูง และคลื่นแรง เรือเฟอร์รีไม่สามารถเทียบท่าได้ และต้องเสียเวลาไปกว่า 30 นาที เนื่องจากท่าเทียบเรือของ บริษัท ราชาเฟอร์รี ใช้ได้เพียงท่าเดียวจากปกติมีให้บริการ 3 ท่า ทำให้นักท่องเที่ยว และผู้ใช้บริการต้องตกค้างจำนวนมาก
       
       ด้านสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ออกประกาศเตือนเรือประมง เรือเฟอร์รี่ เรือโดยสารรับ-ส่งนักท่องเที่ยว ให้เดินเรือด้วยความระมัดระวัง ส่วนเรือสปี๊ดโบ๊ท ที่รับ-ส่ง นักท่องเที่ยวระหว่างเกาะต่างๆ พร้อมเรือนำเที่ยว เรือประมงขนาดเล็ก ควรงดออกจากฝั่ง ในระยะนี้ เพื่อความปลอดภัย
       
       เนื่องจากทะเลมีคลื่นลมแรงความเร็วลม 20-40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และทะเลมีคลื่นสูง 2-4 เมตร ซึ่งเป็นอันตรายต่อการเดินเรือ พร้อมทั้งขอให้ประชาชนเฝ้าติดตามข่าวการพยากรณ์อากาศอย่างใกล้ชิด



จาก                                      :                               ผู้จัดการออนไลน์     วันที่ 14 มกราคม 2552
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #84 เมื่อ: มกราคม 15, 2009, 02:00:32 AM »


ชายหาดชุมพรกว่า 10 กม. คลื่นเซาะถึงบ้าน
 

นาย้เกียรติ ดำรงค์ ส.อบต.นาพญา อ.หลังสวน จ.ชุมพร แจ้งว่า ในช่วงเช้าของวันนี้ ได้เกิดพายุ และ คลื่นยักษ์ ทวีความรุนแรง มากขึ้น ในพื้นที่ ต.นาพญา และพื้นที่ ต.บางมะพร้าว อ.หลังสวน จ.ชุมพร ซึ่งเป็นตำบลที่มีพื้นที่ชายทะเลต่อเนื่องยาวหลายสิบ กม. คลื่นยักษ์ และ ลมแรง พัดถล่มต่อเนื่องขึ้นสู่ฝั่งเป็นเวลาหลายชั่วโมง

สาเหตุดังกล่าวทำให้ ชายฝั่งได้รับความเสียหายเพื่มขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็วมาก บ้านของชาวบ้านที่ตั้งอยู่ ริมทะเลได้ ถูกคลื่นกัดเซาะ จนทำให้นำทะเลเข้ามา อยู่ใต้พื้นบ้าน รวมถึง ต้นมะพร้าวหลายสิบต้น ที่อยู่ บริเวณหน้าบ้าน โค่นล้มลงไปในทะเล ความเสียหายขยายวงกว้างขึ้นตลอดเวลา ในขณะที่ ได้ยื่นหนังสือ ขอความช่วยเหลือไปยัง ผู้ว่าราชการจังหวัดฯ แต่ยังไม่ได้รับการตอบสนองแต่อย่างใด ทำให้เกิดความหวั่นไหวเป็นอย่างมากว่า จะทำอย่างไรกับเหตุการณ์ทีเกิดขึ้น โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจ รีสอร์ท หลายราย ที่เพิ่งลงทุนสร้างรีสอร์ท ต่างพากันหวาดหวั่นว่า คลื่นทะเลจะกัดเซาะ จนทำแผ่นดินหายไปอีกทั้งไม่รู้จะหาทางแก้ไขอย่างไร

นอกจากนั้น ในส่วนของ ชาวประมง ในพื้นที่ อ.หลังสวน จ.ชุมพร ต่างพากันนำเรือประมง ทั้งขนาดเล็ด และ ขนาดใหญ่ เข้ามาหลบคลื่นลม ในหมู่บ้านชาวประมงที่ ต.ปากน้ำหลังสวน หลายพันลำ ส่งผลให้ชาวประมงหลายร่อยครอบครัวขาดรายได้ ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา จนเริ่มเกิดความเดือดร้อนกันแล้ว โดยเฉพาะชาวประมงชายฝั่ง ที่ มีรายได้ จากการจับสัตว์น้ำทะเล แบบหาเช้ากินค่ำ แทบไม่มีเงินเลี้ยงครอบครัว ในเวลา



จาก                                 :                                เนชั่นทันข่าว  วันที่ 14 มกราคม 2552
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #85 เมื่อ: มกราคม 15, 2009, 02:03:34 AM »


ชาวบ้านชายฝั่งสงขลาโดนคลื่นซัดบ้านพัง
 


ชาวบ้านแนวชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ในจ.สงขลา ได้รับผลกระทบจากคลื่นลมแรง ซัดบ้านและเรือประมง เสียหาย ด้านปภ.เร่งให้ความช่วยเหลือพร้อมเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง

จากภาวะคลื่นลมในทะเลอ่าวไทยที่ยังคงมีกำลังแรงในระยะนี้ ส่งผลให้ชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่แนวชายฝั่งของจ.สงขลา เริ่มได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ นายวิจิตร จันทรปาน หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสงขลา เปิดเผยว่า จากการสำรวจสภาพพื้นที่ชายฝั่งที่ติดกับทะเลอ่าวไทยพบว่ามี 2 อำเภอของ จ.สงขลา ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะคลื่นลมแรง ประกอบด้วยพื้นที่ หมู่ 7 ต.เกาะแต้ว อ.เมือง มีบ้านเรือนถูกคลื่นซัดเสียหาย 4 หลังและพื้นที่หมู่ 1 ตำบลหัวเขา อ.สิงหนคร มีบ้านเรือนประชาชน 30 หลังถูกน้ำทะเลหนุนเข้าท่วม ทั้งนี้พื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบทั้งสองแห่งเป็นหมู่บ้านชาวประมงและส่วนใหญ่ปลูกรุกล่ำเข้าไปตามแนวชายฝั่ง แต่สภาพความเสียหายไม่ได้ขยายวงกว้างเพราะเป็นจุดเดิมที่ได้รับผลกระทบทุกครั้งที่คลื่นลมในทะเลอ่าวไทยมีกำลังแรง

อย่างไรก็ตามทางสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารภัยจังหวัดสงขลา ได้ประสานให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งสองพื้นที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนและเตรียมสถานที่สำหรับอพยพชาวบ้านไปอยู่ในที่ปลอดภัยชั่วคราว รวมทั้งให้จัดเวรยามติดตามสถานการณ์คลื่นลมตลอด 24 ชั่วโมง ในส่วนของเรือประมงทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่ออกทำการประมงอยู่ในน่านน้ำอ่าวไทยจนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานเรืออัปปางจากภาวะคลื่นลมแรงแต่อย่างใด และได้ประสานให้หยุดออกทำการประมงชั่วคราวรวมทั้งเฝ้าติดตามรายงานสภาพอากาศจากศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออกอย่างใกล้ชิด
 
 

จาก                                 :                      สำนักข่าว INN     วันที่ 15 มกราคม 2552
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
lord of death
สี่ดาวยังอยู่แค่เอื้อม
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 130



« ตอบ #86 เมื่อ: มกราคม 26, 2009, 09:21:30 AM »

น่า หยวน หยวน เถอะ คนตัวหนัก มารวมในที่เดียว แผ่นดินเลยรับไม่ไหว จมไปแร้น
บันทึกการเข้า

จงหมั่นระลึกถึงความตาย เพราะเป็นวาระติดตัวเรามาตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิ เมื่อถึงเวลาจักได้มีสติกับความตาย ยังให้เราระลึกถึงพุทธองค์และกำหนดจิตถึงภพภูมิใหม่ได้เมื่อวาระนั้นมาถึง ขอให้ทุกท่านพ้นอบายภูมิ เราได้มีเวลาเที่ยว หุ หุ
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #87 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2009, 12:16:11 AM »


ศึกษาผลกระทบชายฝั่งอ่าวไทยตอนล่าง


 นายสำราญ รักชาติ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า จากกรณีการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งบริเวณอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่นราธิวาส-สงขลาที่มีแนวโน้มรุนแรงในระดับวิกฤติมาก ซึ่งเดิมมีอัตราการกัดเซาะชายฝั่งรุนแรงเฉลี่ย 5 เมตรต่อปี แต่ในปี 2551 มีอัตราการกัดเซาะเพิ่มขึ้นเป็น 10 เมตรต่อปีนั้น ในเบื้องต้นกรมฯ ได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กรมพาณิชย์นาวี กรมโยธา และกรมทรัพยากรธรณีตั้งคณะทำงานร่วมทำหน้าที่เร่งศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและความเสียหายที่เกิดขึ้นตลอดทั้งอ่าว สำหรับเป็นข้อมูลในการปรับปรุงโครงการก่อสร้างพื้นฐานเดิมและออกแบบโครงการก่อสร้างพื้นฐานใหม่ อาทิ แนวกันคลื่น รอดักทราย (Groin) เขื่อนหินทิ้ง ซึ่งมีลักษณะที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและช่วยชะลอการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่ใกล้เคียง โดยขณะนี้คณะทำงานร่วมได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงสำรวจพื้นที่และเก็บข้อมูลต่าง ๆ แล้ว คาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนเรื่องการปรับปรุงโครงการก่อสร้างพื้นฐานเดิมและออกแบบโครงการก่อสร้างพื้นฐานใหม่ บริเวณอ่าวไทยตอนล่างภายใน 2 เดือนนี้
 
“บริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีปัญหาการกัดเซาะบริเวณชายฝั่งที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงมากกว่าฝั่งอันดามัน ประกอบกับที่ผ่านมาการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อลดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในแต่ละพื้นที่จะต่างคนต่างดำเนินการ โดยไม่มีการศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับระบบนิเวศและพื้นที่ใกล้เคียง จึงเป็นสาเหตุให้ปัจจุบันปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันเร่งสำรวจผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งอ่าว เพื่อนำมาปรับปรุงและแก้ไขโครงการก่อสร้างพื้นฐานทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น  ตลอดจนส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด” นายสำราญ กล่าว.
 


จาก                                 :                      เดลินิวส์     วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #88 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2009, 12:51:57 AM »


กทม.จับมือเนเธอร์แลนด์แก้น้ำทะเลเซาะชายฝั่งถาวร

เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2552 ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. พร้อมด้วย H.E.Tjaco Theo Van Den Hout เอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย พร้อมด้วยทีมผู้บริหารกทม. พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และ พล.ต.ต.วีระพัฒน์ ตันศรีสกุล ผู้บังคับการตำรวจจราจร ขึ้นเฮลิคอปเตอร์สำรวจชายทะเลบางขุนเทียนและพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า ปัญหาการกัดเซาะชายทะเลบางขุนเทียน เป็นเรื่องที่ตนเป็นห่วงมาก จึงได้เชิญท่านทูตเนเธอร์แลนด์ซึ่งเป็นประเทศที่อยู่ระดับต่ำกว่าน้ำทะเลและสามารถอยู่กับน้ำมานานหลายร้อยปี มาดูสภาพปัญหาของประเทศไทย เพื่อจะได้ประสานผู้เชี่ยวชาญมาช่วยวางแผนแก้ปัญหาในระยะยาว ร่วมกับการแก้ปัญหาระยะสั้นที่ขณะนี้สำนักการระบายน้ำได้ปรับปรุงรูปแบบการกัดเซาะด้วยทีกรอย์โดยใช้หินทิ้ง และการปักไม้ไผ่ตามภูมิปัญญาของชาวบ้าน เบื้องต้นนี้จะใช้สารพิเศษเคลือบไม้ไผ่ให้มีความคงทนมากขึ้น
 
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวต่อว่า คาดว่าการศึกษาเพื่อวางแนวทางการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งจะได้รูปแบบที่ชัดเจนภายใน 3 ปี โดยกทม.จะเป็นหน่วยนำร่องเพราะได้รับผลกระทบมากที่สุด ซึ่งขณะนี้มีชายฝั่งหายไปในทะเลเป็นระยะทาง 1 กิโลเมตรแล้ว และจากภาวะโลกร้อนทำให้น้ำทะเลสูงขึ้นปีละ 5 มิลลิเมตร หากไม่เร่งวางแผนการแก้ปัญหาในระยะยาว จะส่งผลกระทบมากในอนาคต.
 


จาก                                 :                      เดลินิวส์     วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2552
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #89 เมื่อ: มีนาคม 03, 2009, 01:05:20 AM »


ปัญหากัดเซาะชายฝั่ง วิกฤติที่ต้องเร่งแก้ไข
 

 
 ปัจจุบัน ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลของประเทศไทยมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยผลสำรวจล่าสุดของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) พบว่า พื้นที่ชายฝั่งบริเวณอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่นราธิวาส-สงขลาประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งรุนแรงในระดับวิกฤติมาก จากเดิมมีอัตราการกัดเซาะชายฝั่งเฉลี่ย 5 เมตรต่อปี แต่ในปี 2551 มีอัตราการกัดเซาะเฉลี่ยสูงถึง 10  เมตรต่อปี อีกทั้งยังพบว่าทุกจังหวัดเป็นพื้นที่เสี่ยงรวมเป็นระยะทางกว่า 310 กม. ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงและต้องเร่งดำเนินการแก้ไข  เพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับระบบนิเวศชายฝั่งทะเลของไทย
 
นายสำราญ รักชาติ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กล่าวว่า บริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีลักษณะเป็นชายฝั่งแนวตรงยาวไม่มีส่วนเว้า หรืออ่าวช่วยลดความรุนแรงของ กระแสน้ำ ทำให้ปัญหาการกัดเซาะบริเวณชายฝั่งที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงมากกว่าฝั่งอันดามันซึ่งส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นหาดสั้น ๆ และมีอ่าวน้อยใหญ่ ประกอบกับที่ผ่านมาบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อลดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งสูงถึง 25 จุด รวมกว่า 600 เขื่อน อีกทั้งการดำเนินการในแต่ละพื้นที่จะเป็นแบบต่างคนต่างทำ โดยไม่มีการศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับระบบนิเวศและพื้นที่ใกล้เคียง ส่งผลให้ปัจจุบันปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากทรายและตะกอนต่าง ๆ ถูกกระแสน้ำ พัดไปทับถมอยู่ด้านหลังของสิ่งก่อสร้างเป็นจำนวนมาก ซึ่งตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ พื้นที่ปากพนัง ที่ปัจจุบันมีอัตราการกัดเซาะสูงถึงปีละ 10 เมตร 
 
ดังนั้นเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ในเบื้องต้น กรมฯ จึงได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กรมพาณิชยนาวี กรมโยธา และกรมทรัพยากรธรณี ตั้งคณะทำงานร่วมทำหน้าที่เร่งศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและความเสียหายที่เกิดขึ้นตลอดทั้งอ่าว เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงโครงการก่อสร้างพื้นฐานเดิม ตลอดจนออกแบบโครงการก่อสร้างพื้นฐานใหม่ อาทิ แนวกันคลื่น กรอยน์ (groin) ดักทราย เขื่อนหินทิ้ง เป็นต้น ที่มีลักษณะเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและช่วยชะลอการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ที่สำคัญจะต้องไม่เป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่ใกล้เคียงเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้คณะทำงานร่วมได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงสำรวจพื้นที่และเก็บข้อมูลต่าง ๆ แล้ว คาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนเพื่อนำมาปรับปรุงและแก้ไขโครงการก่อสร้างพื้นฐานบริเวณอ่าวไทยทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด โดยจะมีการติดตามและประเมินผลโครงการอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลด้านการศึกษา จากนั้นจะนำแนวทางดังกล่าวไปขยายผลในพื้นที่อื่นที่มีปัญหาการกัดเซาะรุนแรงต่อไป


 
ส่วนแนวทางแก้ไขปัญหาในระยะยาวนั้น กรมฯ จะเร่งผลักดัน “ยุทธศาสตร์การ  จัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง” ให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้จริงตามเป้าหมายที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติตั้งไว้ทั้ง 5 มาตรการคือ

1.พัฒนาและปรับปรุงระบบฐานข้อมูลพื้นที่ชายฝั่ง โดยการสำรวจและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสภาพพื้นที่ชายฝั่งทั่วประเทศ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของแนวชายฝั่งทะเลที่เกิดขึ้นในอดีตจนถึงปัจจุบัน เพื่อนำจัดทำระบบข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ของชุมชนในพื้นที่ชายฝั่งโดยเฉพาะบริเวณพื้นที่วิกฤติหรือพื้นที่เสี่ยงต่อการกัดเซาะชายฝั่ง ที่มีมาตรฐานและทันสมัย สามารถแสดงผลการประมวลข้อมูลสถานการณ์พื้นที่ชายฝั่งทะเลของประเทศ เพื่อใช้ในการจัดการ โดย  เฉพาะบริเวณพื้นที่วิกฤติหรือพื้นที่เสี่ยงต่อการ  กัดเซาะ
 
2.การมีส่วนร่วมในการจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหา เน้นการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาและการจัดการป้องกันแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล และเสริมสร้างศักยภาพของกลุ่มผู้เกี่ยวข้อง

3.การจัดทำแผนแม่บทและแผนยุทธศาสตร์การจัดการปัญหากัดเซาะชายฝั่งเชิงบูรณาการในระดับพื้นที่ เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการและขั้นตอนการตัดสินใจวางแผน ให้เข้าใจในทุกประเด็นปัญหาที่อาจมีผลกระทบต่อเนื่อง พร้อมจัดทำแผนบูรณาการจัดการพื้นที่ชายฝั่งทะเลทั่วประเทศ และการจัดการพื้นที่วิกฤติและพื้นที่เร่งด่วนที่ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง
 
4.การป้องกันแก้ไขและฟื้นฟูสภาพพื้นที่ชายฝั่ง โดยการจำแนกเขตพื้นที่ที่มีปัญหากัดเซาะชายฝั่งทะเล หรือมีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาขึ้นในอนาคต เพื่อใช้เป็นแนวทางในการคัดเลือกมาตรการจัดการป้องกัน แก้ไข หรือฟื้นฟูพื้นที่แต่ละแห่งตามความเหมาะสม อีกทั้งยังจัดทำแผนการจัดการและแผนปฏิบัติการระดับพื้นที่ ร่วมกับหน่วยงานระดับท้องถิ่นและผู้ที่เกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้ส่วนเสียในการใช้ประโยชน์ที่ดิน ตลอดจนฟื้นฟูสภาพพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่ประสบปัญหาให้สามารถกลับมาใช้ประโยชน์ด้านการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศได้ตามศักยภาพของพื้นที่
 
5.การพัฒนาระบบกำกับ ตรวจสอบ และควบคุมการดำเนินงานด้านการจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง โดยมุ่งปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่มีอยู่และเกี่ยวข้องให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการบังคับใช้โดยเฉพาะในพื้นที่วิกฤติหรือพื้นที่เร่งด่วน และกำหนดมาตรการเชิงรุกในการติดตาม และตรวจสอบสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงชายฝั่งทะเล ตลอดจนจัดทำระบบประเมินผลการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในระดับพื้นที่ ซึ่งคาดว่ายุทธศาสตร์ดังกล่าวจะช่วยแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลของไทยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น


 
....ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งถือเป็นวิกฤติของประเทศที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ   ผู้ประกอบการเอกชน และชุมชนในพื้นที่ ควรร่วมมือกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศชายฝั่งทะเลของประเทศไทยให้สามารถใช้ประโยชน์ตามศักยภาพของแต่ละพื้นที่ได้อย่างยั่งยืนในอนาคต ซึ่งหมายถึงโอกาสทางเศรษฐกิจของชุมชนในพื้นที่ ทั้งรายได้จากนักท่องเที่ยว และรายได้จากการทำประมงที่จะเพิ่มขึ้นตามมาด้วย…
 


จาก                                 :                      เดลินิวส์     วันที่ 3 มีนาคม 2552
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.031 วินาที กับ 21 คำสั่ง