|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #180 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2007, 12:55:53 AM » |
|
ฆ่าจิงโจ้-ลดโลกร้อน?
จิงโจ้ สัตว์พื้นเมืองออสเตรเลีย ขยายพันธุ์รวดเร็ว ทำลายพืชผลเกษตร และรุมกินหญ้าจนภูมิประเทศแห้งแล้ง กระทรวงกลาโหมเคยถึงขั้นระดมนายพรานไล่ล่า
ซึ่งกลายเป็นประเด็นถกเถียงในสังคมออสเตรเลีย และโดนกลุ่มพิทักษ์สิทธิสัตว์โจมตี
แต่ต่อไปนี้ทางการออสเตรเลียคงมีข้ออ้างที่หนักแน่นขึ้น เมื่อรายงานพิเศษของกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโลก "กรีนพีซ" แนะว่า ออสเตรเลียควรลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สาเหตุหลักของโลกร้อน
โดยลดการกินเนื้อวัว แล้วหันไปกินเนื้อจิงโจ้แทน
เพราะทำให้ "ผายลม" น้อยกว่า
ฟังดูตลก แต่กรีนพีซให้เหตุผลด้านวิทยาศาสตร์ว่า เนื้อวัวกินแล้วทำให้เกิดก๊าซมีเทนจำนวนมากในกระเพาะ ทำให้ท้องอืดเฟ้อ เกิดอาการเรอ และผายลม ขณะที่เนื้อจิงโจ้ไม่ทำให้เกิดอะไรแบบนั้น
"แค่ลดการกินเนื้อวัวลงร้อยละ 20 และแทนที่ด้วยเนื้อจิงโจ้ ไม่ว่าจะเป็นสเต๊กจิงโจ้ จิงโจ้สับ เบอร์เกอร์จิงโจ้ ก็จะทำให้ออสเตรเลียลดก๊าซเรือนกระจกได้ราว 15 ล้านตัน ภายในปี 2020" ดร.มาร์ก ดีเซ็นดอร์ฟ เจ้าของงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยนิวเซาธ์เวลส์กล่าว
และย้ำว่าโลกจะเผชิญหายนะแน่ ถ้าไม่เร่งลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 30 ในปี 2020
แต่ดีเซ็นดอร์ฟก็หวั่นว่าจะโดนโจมตีเหมือนกันที่ไปรณรงค์ให้คนกินสัตว์ซึ่งเป็นถึงสัญลักษณ์ของประเทศ
ปัจจุบันออสเตรเลียมีจิงโจ้ 25 ล้านตัว ลดลงจาก 5 ปีก่อนครึ่งหนึ่ง เพราะความแห้งแล้ง
ทุกปีจะมีการฆ่าจิงโจ้เพื่อเอาหนังและเนื้อราว 3 ล้านตัว โดยพรานนักล่าซึ่งต้องมีใบอนุญาตจะใช้ปืนส่องยิงจิงโจ้ที่ระหว่างดวงตาในยามกลางคืน
ทั้งประเทศผลิตเนื้อจิงโจ้ได้ปีละ 30 ล้านกิโลกรัม บริโภคเอง 1 ใน 3 นอกนั้นส่งออก โดยได้รับความนิยมสูงในเยอรมนี ฝรั่งเศส และเบลเยียม
รายงานชิ้นนี้คงปลุกกลุ่มคนรักสัตว์ลุกขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมคำถามว่า
การลดโลกร้อนจำเป็นต้องไปเบียดเบียนสัตว์จริงหรือ
จาก : ข่าวสด คอลัมน์ รุ้งตัดแวง วันที่ 25 ตุลาคม 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #181 เมื่อ: ตุลาคม 26, 2007, 01:16:25 AM » |
|
โลกจะสูญพันธ์แค่ไม่กี่ทศวรรษ !!!
ไม่ว่าระดับน้ำทะเลในเขตร้อนของโลกจะร้อนขึ้นสักเพียงใด ที่ผ่านมา โลกก็เคยเผชิญกับการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่มาแล้วหลายล้านปี แต่คราวนี้นักวิทยาศาสตร์วิตกว่า การสูญพันธุ์นั้นอาจเกิดขึ้นอีก แต่ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ทศวรรษ หาใช่หลายสิบล้านปีก่อน
จากการศึกษารอบใหม่ของวารสารโรแยล'โซไซตี้ บี'บอกว่า การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ 4 ใน 5 เหตุการณ์ เกี่ยวโยงกับอุณหภูมิทะเลร้อนขึ้น ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าโลกทั้งใบร้อนกันไปหมด โดยผู้เชี่ยวชาญบอกว่า จากการตรวจสอบสถิติของฟอลซิลในช่วงที่ผ่านมา ยิ่งอุหภูมิโลกเพิ่มขึ้นสูงเท่าไหร่ การสูญพันธ์บนโลกมนุษย์ก็จะเกิดมากขึ้นเท่านั้น
จากการอ้างของนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกบอกว่า โลกอยู่ในห้วงต้องเผชิญกับการสูญพันธุ์ในระยะเดียวกับเมื่อปี 100 ปี ก่อน หากการปล่อยสารก่อปฎิกิริยาเรือนกระจกยังไม่บรรลุสัมฤทธิ์ผล นอกจากนี้ จากการศึกษาอีกด้านพบด้วยว่า มนุษย์ในยุคโบราณนี่แหละที่เป็นตัวการทำให้เกิดภาวะสูญพันธุ์ของโลก เพราะฝีมือการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ในระดับสูง
โดยรายงานดังกล่าวระบุว่า ทีมนักค้นคว้าได้พิจารณาว่า จากสถิติการตรวจสอบซากฟอสซิสในช่วง 10 ล้านปีผ่านมา พบว่า จริง ๆ อุณหภูมิที่วิเคราะห์กันไม่ใช่อุณหภูมิที่แท้จริง จากการเปรียบเทียบกับสัตว์พันธุ์ต่าง ๆ และสิ่งมีชีวิตที่มีความหลากหลายทางชีวภาพอื่น ๆ พวกเขาพบว่า สัตว์พันธุ์ต่าง ๆ บนโลกตายเพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้น
โดยทีมงานได้เริ่มตรวจสอบอุณหภูมิในท้องทะเลเขตร้อน ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่จะใช้พิสูจน์สถิติจากซากฟอสซิลได้ ซึ่งในหลายล้านปีก่อน พวกเขาพบว่า จะเกิดวัฎจักรด้านอุณหภูมิจากภาวะโลกร้อนเพราะสารก่อปฎิกิริยาเรือนกระจก เข้าสู่วัฎจักรแห่งยุคน้ำแข็ง โดยทุกครั้งที่อุณหภูมิบนท้องทะเลเขตร้อนอยู่ที่ระดับ 7 องศาเซลเซียส หรือร้อนกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และหากดำเนินเช่นนี้นอีกหลายล้านปี จะทำให้โลกเราเกิดภาวะสตว์โลกสูญพันธุ์เกลี้ยง เรียกว่าเป็นภาวะสูญเสียที่จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาที่ว่า
แม้ว่าผลศึกษานี้จะได้โยงการสูญพันธุ์ครั้งมหาศาลของโลกกับภาวะโลกร้อนเพิ่มขึ้ น แต่ก็ยังไม่ได้มีการฟันธงชัดๆ ว่า สิ่งที่มีชีวิตบนโลกสูญพันธุ์เพราะอิทธิพลใดมากน้อยไปกว่ากัน
อย่างเช่น จากการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ในช่วงครั้งล่าสุด ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 65 ล้านปีก่อน ซึ่งรวมที้งการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ ไม่มีการอธิบายว่าเพราะเหตุใดสัตว์พันธุ์นี้เพราะเหตุจึงสูญพันธุ์อย่างรวดเร็ว ซึ่งตามทฤษฎีที่ผ่านมา ๆ ที่นักวิทยาศาสตร์พยายามอธิบายกันก็คือ บางทีโลกในขณะนี้อาจเจออุกกาบาตถล่มก็ได้!
ขณะที่อีกทฤษฎีที่ถูกเสนอด้วยก็เรื่อง จากภาวะโลกร้อนนี่แหละ เช่น ปรากฎการณ์ภูเขาไฟระเบิด ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์จำนวนมหาศาล มากพอที่จะทำให้ไดโนเสาร์ทั้งโลกสูญพันธุ์
อย่างไรก็ตาม กลุ่มนักวิจัยอีกกลุ่มที่มุ่งศึกษาเรื่องก๊าซคาร์บอนไดอีอกไซด์ บอกว่า พวกเขาเชื่อว่าการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตบนโลก มีสาเหตุเกี่ยวเนื่องกับภาวะอุณหภูมิทะเลร้อนขึ้น
โดยปีเตอร์ วอรด์ ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยด้านชีวภาพบอกว่า การเพิ่มขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ตามธรรมชาติ ได้ทำให้อากาศและทะเลร้อนขึ้น และเมื่อท้องทะเลร้อนขึ้น ผลที่จะเกิดขึ้นก็คืออ๊อกซิเจนจะน้อยลง ก่อนจะคายสารไฮโดรเจนแพร่สู่อากาศและท้องทะเล ทำลายสิ่งมีชีวิตบนโลก
เรียกว่าเป็นนี่เป็นวัฎจักรที่ย้อนทำลายโลกอย่างเป็นลูกโซ่นั่นเอง!!!
'ปีเตอร์ วอร์ด'ยังบอกว่า เขาได้ตรวจสอบการสูญพันธุ์ทั้งใหญ่และเล็ก 13 ประเภทในอดีตที่ผ่านมา และได้พบ'โซ่เกี่ยวโยงพื้นฐาน'นั่นคือ พบก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ในอากาศเพิ่มขึ้น และระดับอ๊อกซิเจนที่ลดลง ที่เขาเชื่อว่าเป็นปัจจัยไปสู่การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตบนโลกในยุคก่อน
ขณะที่สมาชิกทีมวิจัยร่วมของเขายังเสริมว่า พบว่าการเพิ่มของก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ ในอากาศ เกิดขึ้นตรงกับช่วงที่สิ่งมีชีวิตบนโลกตายเกลี้ยง แต่มันได้สร้างสภาพอุณหภูมิที่ดีขึ้นสำหรับความหลากหลายทางชีวภาพ
ว่าไปแล้ว ผลวิจัยดังกล่าวยังถือว่าสอดคล้องกับของคณะกรรมการรัฐบาลระหว่างชาติ ซึ่งเพิ่งคว้ารางวัลโนเบล ไพร้ซ์ ไปหมาด ๆ (ร่วมกับอัล กอร์)ที่ชี้ว่า อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นเกิดขึ้นในช่วงเดียวกับที่โลกเจอการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตอย่างมโหฬาร จะเพิ่มขึ้นถึงระดับปัจจุบันได้เพียงอีกศตวรรษ หากโลกยังคงมีการปล่อยสารก่อปฎิกิริยาเรือนกระจก
โดยก่อนหน้านี้ คณะวิจัยนี้ฯ เชื่อว่า สิ่งมีชีวิตบนโลกบนโลก 20-30 เปอร์เซนต์ น่าจะเสี่ยงสูญพันธุ์ หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นอีก 3-4 องศาเซลเซียส
ขณะที่นายโธมัส เลิฟจอย์ ประธานศูนย์วิจัยด้านวิทยาศาสตร์,เศรษฐศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม ประจำกรุงวอชิงตัน บอกว่า เพราะว่าเราได้เคยเห็นการเปลี่ยนแปลงด้านระบบนิเวศวิทยาอย่างหลายเท่าตัวเพียงแค่อุณหภูมิเพิ่มขึ้นไม่มากนัก เราก้คาดได้แล้วว่า ต่อไปโลกจะต้องเจอการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงแน่
ส่วนคามิลล่า ปาร์มาซาน นักชีววิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัส ซึ่งลงมือศึกษาเรื่องสิ่งมีชีวิตกำลังเปลี่ยนแปลงไปตามภาวะโลกร้อน บอกว่า เขารู้สึกอึ้งกับรายงานจากแม็ทธิว และมองว่ามันมีแนวโน้มที่เป็นไปได้อย่างยิ่ง
ด้านริชาร์ด อัลเลย์ ศาสตราจารย์ด้านภูมิศาสตร์วิทยาแห่งรัฐเพนซิลวาเนีย บอกว่า รายงานนี้จะทำให้บางคนที่บอกว่า โลกร้อนขึ้นกว่าในช่วงที่ผ่านมา พอจะโล่งอกได้ และเราก็ยังมีเวลาพอที่จะจัดการกับวิกฤตเรื่องนี้
ถอดความจากรายงานของเซธ โบเนสไตน์ ผู้สื่อข่าวสายวิทยาศาสตร์ สำนักข่าวเอพี
จาก : มติชนออนไลน์ วันที่ 26 ตุลาคม 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #182 เมื่อ: ตุลาคม 26, 2007, 11:55:19 PM » |
|
โลกร้อนขึ้นยิ่งส่งผลคุกคาม ความหลากหลาย ชีวภาพลดลง นักวิจัยพบว่าความหลากหลายทางชีวภาพบนโลกมีอยู่สูง ในช่วงที่อากาศเย็น และต่ำลงเมื่ออากาศอุ่น (เมื่อมีปรากฏการณ์ เรือนกระจก) คาดศตวรรษหน้ามีการสูญพันธุ์ ของสิ่งมีชีวิตครั้งใหญ่
ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเชื่อมโยงระหว่าง บรรยากาศกับความหลากหลายทางชีวภาพในช่วงกว่า 520 ล้านปี จากเกือบทั้งหมดของบันทึกฟอสซิลที่มีมา
ผลการศึกษาของเราให้หลักฐานที่ชัดเจนเป็นครั้งแรกว่าบรรยากาศของโลก อาจจะอธิบายได้อย่างแท้จริงถึงบันทึกอยู่ในตัวอย่างฟอสซิล และมีความสม่ำเสมอ ดร.ปีเตอร์ เมย์ฮิว หนึ่งในผู้ร่วมเขียนรายงานวิจัยครั้งนี้กล่าว
นักวิจัยของมหาวิทยาลัยยอร์คและลีดส์ ทำการศึกษาร่วมกันและตีพิมพ์การศึกษาในโพรซีดดิ้ง ออฟ เดอะ รอยัล โซไซตี บี เปรียบเทียบข้อมูลความหลากหลายของสัตว์ทะเลกับสัตว์บก ต่อการคาดประมาณอุณหภูมิพื้นผิวทะเล ในช่วงยุคเดียวกัน พวกเขาพบว่า การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต 4 ใน 5 ครั้งใหญ่บนโลกนั้นมีความเชื่อมโยงกับระยะที่มีปรากฏการณ์เรือนกระจก นั่นคือมีอากาศอุ่นขึ้น และชื้นแฉะมากขึ้น มากกว่าช่วงระยะน้ำแข็งที่อากาศเย็นและแห้ง
เหตุการณ์ที่ว่านั้นรวมถึงปรากฏการณ์ สูญพันธุ์ครั้งเลวร้ายครั้งใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อ 251 ล้านปีก่อน ที่สิ่งมีชีวิต 95 เปอร์เซ็นต์สูญพันธุ์ลง
ดร.เมย์ฮิว กล่าวกับบีบีซี นิวส์ว่า พวกเราอาจจะได้พบกับความเลวร้ายอย่างนั้นในศตวรรษหน้า เหลือเพียงมนุษย์แค่ไม่กี่รุ่นเท่านั้น เรา จำเป็นต้องทราบด้วยว่าเหตุใดอุณหภูมิกับการสูญพันธุ์จึงมีความเชื่อมโยงกันอย่างนี้.
จาก : ไทยรัฐ วันที่ 27 ตุลาคม 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #183 เมื่อ: ตุลาคม 28, 2007, 01:13:05 AM » |
|
โลกร้อนกับทิศทางหลังพิธีสารเกียวโต
แม้ภัยจากโลกร้อนจะชัดเจนขึ้นทุกวัน ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยอมรับว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นตัวการหลักก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก
แต่ดูเหมือนการหาทางออกลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะเป็นปัญหาทางการเมือง เพราะมีความกังวลถึงผลกระทบที่อาจมีต่อสภาพเศรษฐกิจ
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย สกว. ได้จัดประชุมนำเสนอผลการศึกษาวิจัยเรื่อง "พิธีสารโตเกียว" ซึ่งนักวิจัยของโครงการนี้ประกอบด้วย รศ.ดร.นฤมล สุธรรมกิจ และ ดร.ชโลทร แก่นสันติสุข จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในรายงานการศึกษามีการนำเสนอประเด็นทิศทางของการแก้ไขปัญหาโลกร้อนในเวทีนานาชาติว่าจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะข้อตกลงภายหลังปี 2555 ที่พิธีสารเกียวโตสิ้นสุดลง
รศ.ดร.นฤมล ระบุว่า นักวิชาการหลายหน่วยงานพยายามที่จะคาดการณ์ว่าในอนาคต แนวทางแก้ปัญหาโลกร้อนมีความเป็นไปได้ถึง 3 แนวทาง คือ แนวทางแรกดำเนินกิจการไปตามปกติ เมื่อการแก้ไขปัญหาโลกร้อนยุติลงในปี 2555 เศรษฐกิจโลกจะหันมาใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากปิโตรเลียมอีกครั้ง ปริมาณการสะสมก๊าซเรือนกระจกจะเพิ่มขึ้น จนปี 2563 อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นอีก 2 องศาเซลเซียส นั่นหมายความว่าเวลานั้นความพยายามแก้ปัญหาก็จะไม่สำเร็จ และอุณหภูมิโลกจะขยับขึ้นสูงอีก 4.5 องศาฯ ในปี 2643 ซึ่งส่งผลให้สิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของคนทั่วโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่ไม่คาดคิด
แนวทางที่สองเป็นแนวทางอนุรักษ์นิยม คือ ทั้งภาครัฐและเอกชนแก้ปัญหาโลกร้อนภายใต้เงื่อนไขที่ต้องการคงการเติบโตทางเศรษฐกิจให้เหมือนเดิม เทคโนโลยีที่ใช้อาจเหมือนเดิม มีปรับปรุงเทคนิคเล็กน้อยเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น ใช้พลังงานชีวมวลมากขึ้น ใช้พลังน้ำผลิตไฟฟ้า ใช้ถ่านหินโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ติดตั้งอุปกรณ์ดักก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเหมือนเดิมหรือไม่ลดลงจากเดิมนัก อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นช้ากว่าแนวทางแรก
แนวทางที่สามเป็นการแก้ปัญหาอย่างยุติธรรม ประเทศพัฒนาแล้วมุ่งมั่นที่จะช่วยโลกลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยให้เงินทุนสนับสนุนกิจกรรมที่ลดการปล่อยก๊าซแก่ประเทศที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัวจากการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองและเศรษฐกิจ และให้เงินทุนประเทศกำลังพัฒนาในการปรับตัวต่อภาวะโลกร้อน ขณะที่ประเทศต่างๆ ใช้มาตรการภายในประเทศเพื่อรณรงค์การใช้พลังงานหมุนเวียน และปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน รวมทั้งยกเลิกการใช้ถ่านหิน จนอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นต่ำกว่า 2 องศาฯ รัฐบาลต้องมีบทบาทมากในการกำกับดูแลหรือกำหนดมาตรการที่เข้มงวด
"ข้อเสนอในการเจรจาของพิธีสารเกียวโตน่าจะดำเนินต่อไป และขยายช่วงเวลาของพันธกรณีออกเป็นระยะสั้นและระยะยาว อาจยาวถึงปี 2573 หรือ 2593 ทีเดียว ประเด็นในการเจรจามีแนวโน้มจะผนวก 2 เรื่องเข้าด้วยกัน คือ มาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมาตรการปรับตัวตามสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ทั้งสองเรื่องประเทศพัฒนาแล้วต้องเป็นผู้นำสร้างความไว้วางใจให้ประเทศกำลังพัฒนาว่าจะไม่ทอดทิ้งและช่วยแก้ปัญหา"
เธอยังบอกอีกว่า ประเทศพัฒนาแล้วควรสัญญาว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้มากกว่าที่ผ่านมา เช่น สหภาพยุโรปเสนอตัวจะลดการปล่อยก๊าซลงอีกร้อยละ 20 ในปี 2563 หรือสหรัฐอเมริกาควรจะเข้าร่วมในพิธีสารเกียวโต
ขณะที่ ดร.ชโลทร นักวิจัยอีกคนหนึ่งเผยผลการศึกษาที่ระบุว่า ความช่วยเหลือที่มาจากประเทศพัฒนาแล้ว จะเป็นจริงเพียงใดขึ้นกับการเจรจาในเวทีของ COP/MOP และการเข้าร่วมของสหรัฐและออสเตรเลีย รวมถึงการต่อรองระหว่างสหรัฐกับรัสเซีย ในฐานะประเทศกลุ่มภาคผนวก 1 ถ้าสหรัฐลงนามในพิธีสารเกียวโต และระหว่างสหรัฐกับจีน ในฐานะประเทศกลุ่มภาคผนวก 1 และนอกภาคผนวก 1 เพราะในอดีตประเทศพัฒนาแล้วมักจะขยับตัวช้ากว่าที่ควรจะเป็น อ้างว่าประเทศกำลังพัฒนาอย่างเช่นจีน ก็ควรจะแสดงท่าทีในการลดการปล่อยก๊าซด้วย
สำหรับเหตุที่การลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศกำลังพัฒนาไม่ประสบความสำเร็จนัก ดร.ชโลทรวิเคราะห์ว่า ก๊าซเรือนกระจกที่เป็นผลพลอยได้จากการผลิตและการบริโภคสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงาน และปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของการผลิตและการบริโภคสินค้าแต่ละชนิดย่อมไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ แต่ละประเทศมีโครงสร้างการผลิตและการบริโภคแตกต่างกัน การตั้งเป้าหมายให้แต่ละประเทศลดการปล่อยก๊าซแบบองค์รวมอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้อาจจะไม่เหมาะสมและยากแก่การตรวจสอบ อาจเป็นไปได้ว่า เป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะเปลี่ยนเป็นการตั้งค่าในระดับภาคเศรษฐกิจมากกว่าระดับประเทศ ซึ่งแต่ละภาคเศรษฐกิจจะมีค่าเป้าหมายไม่เท่ากันข้อเสนอนี้อาจประยุกต์ใช้ได้ทั้งประเทศพัฒนาแล้ว และกำลังพัฒนา
ส่วนประเด็นการเจรจาของ COP/MOP ณ บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ผลการศึกษาวิจัยของทั้งสองเสนอว่าน่าจะเกี่ยวกับการหาเงินทุนและการสร้างสิ่งจูงใจสำหรับเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสภาพภูมิอากาศ ให้ประเทศพัฒนาแล้วเป็นผู้นำ และให้ประเทศกำลังพัฒนาเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดทำมาตรการในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกับมาตรการแก้ปัญหายากจนควรจะอยู่ในแผนเดียวกัน เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งหรือเป็นอุปสรรค นอกจากนี้ คาดว่าจะมีการทบทวนเกณฑ์การกำหนดเป้าหมายก๊าซเรือนกระจกของแต่ละประเทศ เช่น มีการเสนอให้ใช้ปริมาณคาร์บอนต่อหัวต่อปีแทนปริมาณรวมคาร์บอนต่อปี รวมทั้งการทบทวนบทบาทของตลาดคาร์บอน และความยืดหยุ่นของกลไก โดยให้ประเทศกำลังพัฒนาเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น
มีการเจรจาทบทวนพันธะร่วมกันในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกัน รวมทั้งระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนาด้วย โดยยึดหลักความรับผิดชอบต่างกันและความสามารถในการแข่งขันของทั้งสองกลุ่มในรายงานการศึกษาวิจัยเรื่องพิธีสารโตเกียว โครงการ MEAs สกว.ยังระบุประเด็นการเจรจาบนเวทีที่จะเกิดขึ้นอีกว่า มีความเป็นไปได้ที่ประเทศพัฒนาแล้วจะตั้งเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอีกร้อยละ 50 ของปี 2533 โดยการนำของสหภาพยุโรป นอร์เวย์และญี่ปุ่น ขณะที่ความจำเป็นในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เพื่อหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก เป็นอีกประด็นที่ต้องหยิบยกเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้แก่ทั่วโลกในการปรับตัว.
จาก : ไทยโพสต์ วันที่ 28 ตุลาคม 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #184 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2007, 01:22:56 AM » |
|
"กรุงเทพฯ" ติดโผ 21 เมืองเสี่ยงหายนะ

สถาบัน Worldwatch Institute เปิดเผยรายชื่อเมืองที่มีความเสี่ยงสูงต่อหายนะต่างๆ ที่เกิดจากโลกร้อน อย่างระดับน้ำทะเลสูง โดยเมืองใหญ่ 21 แห่ง อาทิ กรุงธากา ประเทศบังกลาเทศ, กรุงโตเกียว นครโฮซากา และเมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น, นครนิวยอร์ก และนครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา, กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย, กรุงไคโรและเมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์, นครเซี่ยงไฮ้และเมืองเทียนจิน ประเทศจีน, นครมุมไบและนครกัลกัตตา ประเทศอินเดีย รวมทั้งกรุงเทพมหานคร
ประชากรมากกว่า 1 ใน 10 ของโลก หรือประมาณ 643 ล้านคน อยู่ในพื้นที่ต่ำและเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน โดย 10 ประเทศที่อยู่ในอันตรายมากที่สุดเรียงลำดับคือ จีน อินเดีย บังกลาเทศ เวียดนาม อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น อียิปต์ สหรัฐ ไทยและฟิลิปปินส์
ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานอำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวว่า "ถ้ากรุงเทพฯ หัวใจของประเทศจมอยู่ใต้น้ำ เศรษฐกิจ การท่องเที่ยวและทุกๆ อย่างจะหยุดการเคลื่อนไหว ไทยไม่มีเวลาเหลือพอที่จะย้ายเมืองหลวงไปอีก 15-20 ปีข้างหน้า สิ่งที่ทำได้คือป้องกันกรุงเทพฯ แม้ว่าการเริ่มต้นเกือบจะช้าไปแล้ว"
ปัจจุบันพื้นที่ส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 3 ฟุตถึง 5 ฟุต แต่ในบางพื้นที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลในอ่าวไทย แต่ละปีน้ำทะเลในอ่าวไทยจะสูงขึ้นประมาณ 1 ใน 10 นิ้ว หรือเท่ากับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นในพื้นที่ต่างๆ ของโลกโดยเฉลี่ย และการที่กรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนดินอ่อน แทนที่จะเป็นพื้นหิน ทำให้ดินทรุดเร็วกว่าที่ควรจะเป็น คือประมาณ 4 นิ้วต่อไป ประชากรที่มาอยู่กันอย่างแออัดรวมทั้งโรงงานที่สูบน้ำบาดาลออกมาใช้ทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย ต่างช่วยเร่งให้ดินทรุดเร็ว
ด้าน ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุทรศาสตร์และปัจจุบันทำงานอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เชื่อว่า ถ้ากรุงเทพฯ อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ผลกระทบจะไม่ร้ายแรงนักและยังมีทางแก้ไข เช่น สำรวจช่องระบายน้ำ สร้างเขื่อนและแก้มลิงในต่างจังหวัด แต่การป้องกันต้องเริ่มทำตั้งแต่เดี๋ยวนี้
กรุงเทพฯ เคยได้ชื่อว่า "เวนิซตะวันออก" ตั้งขึ้นเมื่อ 225 ปีที่แล้ว บนชายฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และเมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้ว องค์การพัฒนาจากต่างประเทศแนะนำให้กรุงเทพฯ ถมคูคลองเพื่อทำถนนและป้องกันโรคมาลาเรีย ทำให้น้ำไม่สามารถระบายได้อย่างสะดวก จนกรุงเทพฯ เสียฉายา "เวนิซตะวันออก" ไป
จาก : ข่าวสด คอลัมน์หมุนก่อนโลก วันที่ 29 ตุลาคม 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #185 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2007, 12:32:04 AM » |
|
ชี้โลกร้อนป่วนกว่าร้อยชาติทั่วโลก สแตนด์เฟิร์สต์ - รายงานของกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสันติภาพชี้ ภาวะโลกร้อนจะทำให้มากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก เผชิญความวุ่นวายทางการเมือง และเกิดการอพยพย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่สุดของประชากรโลก
อินเตอร์เนชั่นแนล อเลิร์ท กลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสันติภาพ เผยรายงาน "อะ ไคลเมท ออฟ คอนฟลิคท์" หรือสภาพอากาศแห่งความขัดแย้งว่า ปัจจุบันมี 46 ประเทศ และประชากรโลกอีกราว 2,700 ล้านคน ที่ตกอยู่ในความเสี่ยงสูงสุด เพราะการทำสงคราม และความรุนแรงต่างๆ ที่มีอาวุธเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยมีสาเหตุมาจากสภาพอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลงไป
นอกจากนี้ ภาวะโลกร้อน ยังทำให้อีก 56 ประเทศ ต้องเผชิญกับภาวะไร้เสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชากรอีกประมาณ 1,200 ราย
รายงานเตือนภัยภาวะโลกร้อนฉบับนี้ ระบุด้วยว่า พื้นที่ส่วนใหญ่ของแอฟริกา เอเชีย และอเมริกาใต้ จะต้องเผชิญกับการปะทุของสงคราม และความวุ่นวายในสังคม เพราะสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้พื้นดินโดนกัดเซาะ ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น ภูเขาน้ำแข็งละลาย และพายุที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งแม้กระทั่งทวีปยุโรปก็ต้องเจอกับความเสี่ยงนี้เช่นกัน
"สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นปัจจัยประกอบที่ทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรง ซึ่งจะทำให้ชุมชนต่างๆ มีความยากจนมากขึ้น และมีความสามารถในการรับมือกับผลลัพธ์ต่างๆ ที่เกิดจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปได้น้อยลง" รายงานย้ำ
ขณะที่นายแดน สมิธ เลขาธิการอินเตอร์เนชั่นแนล อเลิร์ท เสริมว่า ประเทศที่ตกเป็นเป้าคุกคามร้ายแรงที่สุด คือ บรรดาประเทศที่ขาดแคลนทรัพยากร และเสถียรภาพในการรับมือกับภาวะโลกร้อน
นายสมิธย้ำว่า ความขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดจากภาวะโลกร้อน ไม่ได้เป็นแค่ภัยคุกคามเล็กๆ น้อยๆ ของอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่ได้เกิดขึ้นจริงแล้วในทุกวันนี้
จาก : กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 5 พฤศจิกายน 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #186 เมื่อ: พฤศจิกายน 07, 2007, 12:39:47 AM » |
|
ชาติร่ำรวยปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงขึ้น
พวก 40 ประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก ปล่อยก๊าซปฏิกิริยาเรือนกระจกเพิ่มสูงขึ้นเป็น 18,200 ล้านตันในปี 2005 จากระดับ 18,100 ล้านตันในปี 2004 อีกทั้งอยู่ต่ำกว่าเพียงแค่ 2.8% จากปี 1990 อันเป็นปีซึ่งมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นสถิติสูงสุดที่ 18,700 ล้านตัน ทั้งนี้ตามรายงานของสำนักงานเลขาธิการความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ หน่วยงานสังกัดสหประชาชาติซึ่งตั้งออฟฟิศที่เมืองบอนน์, เยอรมนี รายงานฉบับนี้ซึ่งเป็นการรวบรวมสถิติระดับชาติประจำปี 2005 ครั้งแรกของหน่วยงานยูเอ็น ยังระบุว่า สหรัฐฯยังคงรักษาแชมป์ปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ครอบครองมานาน โดยปล่อยเพิ่มเป็น 7,240 ล้านตันในปี 2005 จากระดับ 7,190 ล้านตันในปี 2004 สำหรับอันดับ 2 ได้แก่รัสเซีย ซึ่งปล่อยสูงขึ้นเป็น 2,130 ล้านตัน จากระดับ 2,090 ล้านตันในปี 2004 ขณะที่สหภาพยุโรปและแคนาดา มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดน้อยลงในปี 2005 ส่วนญี่ปุ่นนั้นเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย
จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 7 พฤศจิกายน 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #187 เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2007, 01:25:52 AM » |
|
น้ำทะเลขึ้น-ทำน้ำจืดใต้ดินปนเปื้อน
 อุณหภูมิในโลกสูงขึ้น ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงตามไปด้วย คนส่วนใหญ่เป็นห่วงว่า ชายหาดและพื้นที่บนดินจะหายไป ลืมเป็นห่วงพื้นที่ใช้ดินเสียสนิท เพราะการที่ระดับน้ำทะเลขึ้นมา จะทำให้น้ำทะเลเข้าไปปะปนกับแหล่งน้ำจืดใต้ดิน จนเราสูญเสียแหล่งน้ำจืดใต้ดินไป
Intergovernmental Panel on Climate Change หรือคณะกรรมาธิการที่ก่อตั้งโดยรัฐบาลต่างๆ เพื่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ทำการจำลองโดยให้ 100 ปีข้างหน้า มีระดับน้ำทะเลสูงขึ้นมา 23 นิ้ว และพบว่า น้ำทะเลจะเข้าไปผสมกับแหล่งน้ำใต้ดิน ทำให้น้ำนั้นไม่สามารถนำมาดื่มได้อีกต่อไป และเข้าไปปนกับแหล่งน้ำจืดมากกว่าที่คาดการไว้ก่อนหน้านี้ถึง 50%
นายโมโตมุ อิบารากิ ผู้เชี่ยวชาญจากโอไฮโอ สเตต ยูนิเวอร์ซิตี้ ผู้ทำการจำลอง เปิดเผยว่า น้ำทะเลจะเข้าไปในแผ่นดินได้ไกลเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของทรายบริเวณชายฝั่ง ถ้าทรายมีความละเอียดสูง น้ำทะเลก็จะแทรกซึมเข้ามาได้น้อย แต่ถ้าทรายมีความหยาบมาก น้ำทะเลก็จะแรกเข้ามาในแผ่นดินได้มาก
ตามปกติแล้ว ชายฝั่งจะมีชั้นทรายอยู่หลายชั้น และพบว่า ยิ่งชั้นทรายมากเท่าใด น้ำทะเลจะเข้าไปผสมกับแหล่งน้ำใต้ดินมากขึ้นเท่านั้น และทำให้น้ำจืดใต้ดินมีส่วนผสมของเกลือมากจนนำมาดื่มไม่ได้ โดยอาจจะมีจำนวนเกลือมากกว่า 250 มิลลิกรัมต่อลิตร การดื่มน้ำที่ผสมเกลือมากๆ เข้าไป เป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะทำให้ร่างกายขาดน้ำ และการขจัดเกลือออกจากน้ำนั้นยังมีราคาแพงด้วย
จาก : ข่าวสด วันที่ 14 พฤศจิกายน 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #188 เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2007, 11:32:07 PM » |
|
โลกร้อนทำอุณหภูมิทิเบตสูงเร็วกว่าที่อื่นในจีน
เอเจนซี - คุณตู้ รองผู้อำนวยการศูนย์สภาพอากาศ สำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งทิเบตเปิดเผยว่า อุณหภูมิเฉลี่ยในทิเบตเพิ่มสูงขึ้นเร็วกว่าที่ใดๆ ในแผ่นดินจีน อันสืบเนื่องมาจากภาวะโลกร้อน ก่อให้เกิดความแห้งแล้งและไฟไหม้บ่อยครั้งขึ้นในแถบหิมาลัย และยังให้ข้อมูลว่า อุณหภูมิในทิเบตนั้นในช่วง 40 ปีที่ผ่านมาได้เพิ่มขึ้นประมาณ 0.3 องศาเซลเซียสทุกๆ 10 ปี ขณะที่อุณหภูมิเฉลี่ยของจีนนั้นเพิ่มขึ้น 0.4 องศาเซลเซียสทุกๆ 100 ปี จากรายงานข่าวของสำนักข่าวซินหัวระบุว่า ผลจากภาวะโลกร้อนได้ส่งผลให้เกิดภัยธรรมชาติต่างๆ บ่อยครั้งขึ้นในทิเบต ทั้งภัยแล้ว แผ่นดินถล่ม พายุหิมะ และไฟไหม้ ที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์เตือนว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้นเรื่อยๆ กำลังเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมของทิเบต ทั้งธารน้ำแข็งละลาย แนวหิมะก็ลดน้อยลง และส่วนที่เป็นทะเลทรายเพิ่มจำนวนขึ้น ดินแดนเทือกเขาอันห่างไกลอย่างทิเบต กำลังกลายเป็นเครื่องวัดถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมโลกว่ากำลังเผชิญภาวะเลวร้ายอันมีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 23 พฤศจิกายน 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #189 เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2007, 11:59:29 PM » |
|
ประวัติศาสตร์ชี้ชัดโลกร้อนก่อภัยพิบัติ-สงคราม ฮ่องกง - นักวิทยาศาสตร์โชว์หลักฐานทางประวัติศาสตร์ โลกร้อนทำพิษสร้างทุพภิกขภัย การศึกสงครามและการลดจำนวนประชากรโลก
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานอ้างการเปิดเผยของวารสารการศึกษาวิทยาศาสตร์แห่งชาติในฮ่องกงว่า ปัญหาวิกฤติจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงหรือภาวะโลกร้อน เป็นหนึ่งในสัญญาณอันตรายอย่างร้ายแรงที่เป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติ
โดยการเปิดเผยครั้งนี้ มีขึ้นภายหลังจากคณะนักวิทยาศาสตร์จากสหรัฐฯ อังกฤษ ฮ่องกง และจีนแผ่นดินใหญ่ ร่วมกันศึกษาวิจัยต่อพิษภัยของปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ที่ส่งผลกระทบต่อโลก ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา นับตั้งแต่ครั้งอดีต
พร้อมกันนี้ คณะนักวิทยาศาสตร์กลุ่มดังกล่าว ยังเปิดเผยด้วยว่า จากการศึกษาวิจัยในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา พบว่า การเกิดทุพภิกขภัย การเกิดสงครามแย่งชิงดินแดน และการลดจำนวนประชากรตามแว่นแคว้นต่างๆ ล้วนเป็นผลกระทบที่ได้รับจากปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงหรือภาวะโลกร้อนเป็นส่วนใหญ่ นอกเหนือจากเหตุปัจจัยในด้านอื่นๆ แล้ว
ทางด้านนายปีเตอร์ เบรค ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่งสถาบันเทคโนโลยีจอร์เจียในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะผู้ศึกษาวิจัยครั้งนี้ เปิดเผยว่า การเพิ่มขึ้นอุณหภูมิโลก ถึงแม้จะมีส่วนดีอยู่บ้าง คือ ทำให้อากาศของโลกอบอุ่นขึ้น แต่ถ้าหากอุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้น จนร้อนมากเกินไป ก็จะส่งผลเสียต่อโลกได้เช่นกัน
ขณะที่ นายเดวิด จาง ศาสตราจารย์ด้านภูมิศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยฮ่องกง กล่าวว่า ในการศึกษาประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติในช่วงคริสตศตวรรษที่ 13 ได้พบว่า ผลพวงจากปัญหาภาวะโลกร้อน ทำให้เกิดการโยกย้ายถิ่นฐานของประชากรจากดินแดนหนึ่งไปยังอีกดินแดนหนึ่ง ซึ่งมีสภาพภูมิอากาศเหมาะสมต่อการดำรงชีพมากกว่า จนทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประชากรขึ้น และทำให้เกิดสงครามกันในที่สุด
พร้อมกันนี้ ศาสตราจารย์เดวิด จาง แห่งมหาวิทยาลัยฮ่องกง ยังได้ยกตัวอย่างกรณีของการอพยพของชนเผ่าแมนจู ที่ย้ายถิ่นฐานมายังภาคกลางของจีนแผ่นดินใหญ่ ในสมัยราชวงศ์หมิง ก่อนที่จะทำสงครามแย่งชิงดินแดนกัน โดยผลปรากฏว่า พวกแมนจูสามารถโค้นล้มราชวงศ์หมิง และก่อตั้งราชวงศ์ชิงในเวลาต่อมา
จาก : สยามรัฐ วันที่ 23 พฤศจิกายน 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #190 เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2007, 12:35:56 AM » |
|
'โลกร้อน' บั่นทอนความก้าวหน้าเอเชีย คนครึ่งทวีปตกอยู่ในภาวะอันตราย กลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติกล่าวเตือนว่า ปรากฏการณ์โลกร้อน อาจจะทำให้ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมทั่วทั้งทวีปเอเชีย ที่เป็นมาหลายสิบปีถอยหลังกลับได้ และผู้คนเกือบครึ่งทวีป จำนวน 2 พันล้านต้องตกอยู่ในอันตราย ของการอยู่อาศัยตามริมฝั่งทะเล
กลุ่มกรีนพีซและออกซ์แฟมไม่ต่ำกว่า 35 คณะ ได้ ร่วมกันจัดทำรายงานในหัวเรื่องว่า เอเชีย กำลังตกอยู่ในอันตราย โดยกล่าวรายงานว่า รายงานทางวิทยาศาสตร์ ส่วนใหญ่เห็นว่า อากาศทั่วทั้งทวีปจะอุ่นขึ้นในศตวรรษนี้ ยังผลให้ฝนฟ้าและอิทธิพลของฤดูมรสุม ที่เคยอำนวยกับการผลิตอาหารจะต้องถูกกระทบกระเทือนอย่างคาดได้ และพายุไซโคลน อย่างลูกซึ่งเพิ่งถล่มบังกลาเทศเมื่อไม่กี่วันมานี้ จะต้องเกิดถี่ขึ้น
บังกลาเทศกลายเป็นตัวอย่างซึ่งปรากฏในรายงานของชาติซึ่งประชากรยากจนเรือนล้าน ต้องปากกัดตีนถีบเลี้ยงชีวิตอยู่ตามไร่นาและบริเวณที่ริมฝั่งทะเล กำลังรับกรรมจากความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศ อันเกิดจากน้ำมือมนุษย์อย่างชัดแจ้ง
รายงานชี้ให้เห็นว่า ทวีปเอเชียเป็นที่ทำมาหากิน ของกลุ่มชาวนาเจ้าของที่นาแปลงเล็กๆ จำนวน 400 ล้านคน มากถึง 87% คนเหล่านี้ต้องได้รับความเดือดร้อนจากความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศอย่างยิ่ง เนื่องจากฝากชะตาชีวิตไว้กับปริมาณน้ำฝน
เพียงแค่อากาศในเวลากลางคืนในฤดูเพาะปลูกร้อนขึ้นอีกเพียง 1 องศาเซลเชียส จะทำให้นาในเอเชียได้ ข้าวน้อยลงถึง 10%.
จาก : ไทยรัฐ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #192 เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2007, 12:32:35 AM » |
|
แก้ปัญหาโลกร้อนระดับประเทศ ช่วงวันที่ 3-14 ธันวาคม สหประชาชาติจะจัดการประชุมระดับโลกที่สำคัญมากงานหนึ่ง นั่นคือการประชุมภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงที่เกาะบาหลี อินโดนีเซีย ซึ่งจะมีประเทศต่างๆ ร่วม 190 ชาติ เข้าร่วมประชุมด้วย
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : เป้าหมายของงานนี้ คือการกำหนดยุทธศาสตร์หรือวางกรอบสำหรับการเจรจาเพื่อเร่งรับมือปัญหาโลกร้อนหลังจากปี 2555 อันเป็นปีที่พิธีสารเกียวโตหมดอายุลง ก่อนถึงการประชุมนี้เพียงไม่กี่วัน สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นดีพี) ได้เปิดเผยรายงานการพัฒนามนุษย์ประจำปี 2550/2551 ซึ่งปีนี้มุ่งเน้นเรื่องภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงที่เป็นปัญหาท้าทายต่อการพัฒนามนุษย์ในศตวรรษที่ 21 เพื่อแสดงให้เห็นผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้น และเรียกร้องให้ทั่วโลกเริ่มดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อแก้ไขปัญหา
ยูเอ็นดีพีเผยว่า ปัจจุบันไทยครองสัดส่วนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของภาวะเรือนกระจก มากเป็นอันดับ 22 ของโลก และอันดับ 7 ของเอเชีย โดยมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ยปีละ 12.8% ขณะที่สัดส่วนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของประชากรต่อหัว อยู่ที่ 4.2 ตันต่อปี ซึ่งสูงกว่าจีน อินเดีย และอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่า ไทยมีโอกาสที่จะเป็นผู้นำในภูมิภาคในเรื่องของการต่อสู้ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ด้วยการเพิ่มการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ให้แรงจูงใจใหม่ๆ เกี่ยวกับพลังงานทางเลือก และร่วมมือกันในด้านเทคโนโลยีใหม่ ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
เหตุที่ต้องใส่ใจในปัญหาโลกร้อน เพราะจากการบอกเล่าของที่ปรึกษาด้านภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงของยูเอ็นดีพี ระบุว่า โลกร้อนได้ก่อให้เกิดผลกระทบขึ้นแล้วในเอเชีย ในรูปของผลผลิตการเกษตรที่เริ่มลดลง หลายพื้นที่เริ่มขาดแคลนน้ำ และเสี่ยงต่อการเกิดภัยจากอากาศแปรปรวนมากขึ้น ขณะที่ระบบนิเวศเริ่มเข้าสู่ภาวะล่มสลาย และประชากรเสี่ยงมีปัญหาสุขภาพมากขึ้น ในส่วนของไทยนั้น การเพาะปลูกต่างๆ โดยเฉพาะข้าวและข้าวโพด มีความเสี่ยงสูงต่อภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจทำให้ผลผลิตลดลงอย่างมาก นอกจากนี้ ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงยังอาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลนน้ำ โดยเฉพาะเมื่อปริมาณน้ำฝนลดลงในเขตที่ราบภาคกลาง
จริงๆ แล้ว ในระยะหลังชาวไทยและชาวโลกตื่นตัวกันมาก เกี่ยวกับการช่วยกันแก้ปัญหาโลกร้อน เพราะเห็นว่าประเด็นภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องใกล้ตัวอย่างมาก ประเทศที่ให้ความสำคัญกับภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง จนชูเป็นประเด็นหลักประเด็นหนึ่งในการเลือกตั้ง คือออสเตรเลีย ถึงขั้นที่นักวิเคราะห์บางคนเรียกการเลือกตั้งดังกล่าวว่า เป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกของโลก ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง
หลังจากประเทศนี้ต้องเผชิญภัยแล้งครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่ง ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่นายเควิน รัดด์ จากพรรคแรงงาน ซึ่งรณรงค์หาเสียงว่าจะให้สัตยาบันพิธีสารเกียวโต สามารถคว้าชัยจากการเลือกตั้งมาได้อย่างง่ายดาย และในการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี นายรัดด์ยังอุทิศตำแหน่งให้กับงานด้านสิ่งแวดล้อมถึง 2 ตำแหน่ง โดยแต่งตั้งนายปีเตอร์ การ์เรตต์ อดีตนักร้องเพลงร็อคชื่อดัง เป็นรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม ขณะที่นางเพนนีย์ หว่อง ซึ่งมีเชื้อสายมาเลเซีย เป็นรัฐมนตรีภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงและน้ำ มีหน้าที่ดูแลการเจรจากับต่างชาติเรื่องพิธีสารเกียวโต
นอกจากว่าที่นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียจะแถลงอย่างชัดเจนว่า รัฐมนตรีใหม่ด้านสิ่งแวดล้อมทั้งสองคน จะร่วมคณะไปกับเขา เพื่อเข้าร่วมการประชุมที่เกาะบาหลีสัปดาห์หน้าแล้ว เขายังประกาศว่าเรื่องภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง น้ำ และสิ่งแวดล้อม จะเป็นหนึ่งในวาระหลักของพรรคแรงงานในอนาคต ซึ่งฟังเสียงจากน้ำเสียงและการกระทำที่จริงจังแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงคนไทย ที่แม้ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้องประชาชน รวมถึงเสถียรภาพทางการเมือง และความสงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเป็นเรื่องหลักที่รอการแก้ไข แต่ปัญหาโลกร้อนก็ไม่ควรถูกมองข้ามเช่นกัน
จาก : กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #193 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2007, 11:09:20 PM » |
|
เริ่มแล้วประชุมโลกร้อนที่บาหลีทั่วโลกรวมพลัง เมื่อ 2 ธ.ค. ผู้นำรัฐบาลต่างๆราว 190 ประเทศทั่วโลก เดินทางถึงเกาะ บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อร่วมการประชุมโลกร้อน ระหว่างวันที่ 3-14 ธ.ค. ในความพยายามรับมือปัญหาโลกร้อน หาสนธิสัญญาฉบับใหม่มาใช้แทนพิธีสารเกียวโต ที่กำหนดหมดอายุในปี 2555 ตลอดจนพิจารณาว่าการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯควรกระทำโดยถูกบังคับหรือโดยความสมัครใจ รวมทั้งหาวิธีลดการทำลายป่า ไปจนถึงช่วยเหลือประเทศยากจน ที่เผชิญภาวะแห้งแล้ง, น้ำท่วมและพายุรุนแรง ซึ่งล้วนทำให้อุณหภูมิโลกร้อน ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ประชากรโลกหลายล้านคนยากจนและสัตว์หลายชนิดสูญพันธุ์
นายอีวอน เดอ โบ เลขาธิการการประชุมโครงสร้างของยูเอ็นว่าด้วยโลกร้อนกล่าวว่า มีสัญญาณที่ชัดเจนมากจากประชาคมทางวิทยาศาสตร์ว่า เราจำเป็นต้องดำเนินการเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ ต้องมีการเปลี่ยนทิศทางการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่างๆของทั่วโลกภายใน 10-15 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ ภายใต้สนธิสัญญาที่ได้ตกลงไว้เมื่อปี 2540 ได้มีการระบุข้อเรียกร้องให้ประเทศอุตสาห-กรรม 36 ชาติ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซอื่นๆที่ก่อให้เกิดความร้อน อีกทั้งกำหนดเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามโรงงานไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม ด้านการเกษตรและการขนส่ง ราว 5% ภายในปี 2555 อย่างไรก็ดี ในข้อตกลงใหม่ที่ประกอบด้วยหลากหลายวาระ โดยเฉพาะสหภาพยุโรป ต้องการให้มีการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกอยู่ที่ 2 องศาเซลเซียส จะต้องสรุปให้ได้ภายในสองปี เพื่อให้เวลาประเทศต่างๆในการให้สัตยาบันและให้มีการผ่องถ่ายสนธิสัญญาเป็นไปอย่างราบรื่นเมื่อพิธีสารเกียวโตหมดวาระ.
จาก : ไทยรัฐ วันที่ 3 ธันวาคม 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
|
|