กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤศจิกายน 13, 2025, 06:03:43 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 13 14 [15] 16 17 18   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: วิกฤต : โลกร้อน (2)  (อ่าน 156466 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #210 เมื่อ: มีนาคม 13, 2008, 01:05:28 AM »


ร้อนอีกแค่ "6 องศา" โลกาก็จะวินาศ



หลายคนอาจจินตนาการไม่ออกว่าหากโลกของเรามีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศาเรื่อยไปจนถึง 6 องศาเซลเซียสจะมีโฉมหน้าเป็นอย่างไร “Six Degrees Could Change the World” ได้แสดงให้เห็นบนแผ่นฟิล์มแล้ว (ภาพจากเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ชาแนล เอเชีย)


จินตนาการเอาเอง ก็คงคิดไม่ออกว่าอุณหภูมิแต่ละองศาที่เพิ่มขึ้นจากภาวะอากาศผันผวนจะเปลี่ยนโฉมหน้าโลกเราไปอย่างไร? และเมื่อนั้นเราจะได้รับผลกระทบอะไรบ้าง? สารคดีความยาว 2 ชั่วโมง เรื่อง "6 องศาเปลี่ยนแปลงโลกได้" จากเนชันแนลจีโอกราฟิก อาจช่วยให้เห็นภาพชัดขึ้น
       
       "อุณหภูมิ 6 องศาเซลเซียสเปลี่ยนแปลงโลกได้" หรือ "Six Degrees Could Change the World" เป็นภาพยนตร์สารคดีที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก “มาร์ค ไลนัส” (Mark Lynas) ผู้สื่อข่าวและนักอนุรักษ์นิยมชาวอังกฤษ เจ้าของหนังสือ “ซิกซ์ ดีกรี” (Six Degrees) ซึ่งอ้างว่าได้ค้นคว้าบทความวิทยาศาสตร์หลายหมื่นชิ้นเพื่อเผยให้โลกเห็นความน่ากลัวของมหันตภัยที่คืบคลานมากับอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นในอีก 100 ปีข้างหน้า
       
       “สภาวะโลกร้อนนั้นไม่ได้หมายถึงแค่การเพิ่มขึ้นช้าๆ ของอุณหภูมิโลก แต่จริงๆ แล้วมันคือการเปลี่ยนแปลงของระบบต่างๆ ในโลก นั่นเป็นเหตุผลที่เราได้เห็นทั้งความแห้งแล้งและน้ำท่วมในสถานที่ต่างๆ หรือแม้แต่การเกิดน้ำท่วมและสภาวะแห้งแล้งที่เกิดขึ้นในพื้นที่เดียวกันอย่างต่อเนื่อง” ไลนัสกล่าวในตอนหนึ่งของสารคดี ซึ่งเปิดตัวรอบสื่อมวลชนไปเมื่อวันที่ 28 ก.พ.51 ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน
       
       ภาพที่ปรากฏออกมาตลอด 2 ชั่วโมงของ "6 องศาเปลี่ยนแปลงโลกได้" จึงเริ่มตั้งแต่การกล่าวถึงสัญญาณเตือนภัยเบื้องต้นที่โลกประสบแล้ว เช่น ในทวีปออสเตรเลียที่มีอุณหภูมิสูงขึ้น 1 องศาเซลเซียสในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดภัยแล้งที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์
       
       หรือแม้แต่ภัยพิบัติจากเฮอริเคน “แคทรินา” เมื่อปี 2548 ที่ทำลายบ้านเมืองในมลรัฐนิวออร์ลีน ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งแม้จะดูร้ายแรงมาก ทว่าแคทรินาก็ยังเป็นแค่พายุที่มีความรุนแรงระดับ 3 เท่านั้น ขณะเดียวกันในฟากเมืองผู้ดี “อังกฤษ” ก็กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางการเกษตรครั้งใหญ่เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น พืชที่ไม่เคยปลูกได้ในอังกฤษอย่างองุ่นและมะกอกกลับชูช่องดงาม
       
       สารคดีดังกล่าวบอกเราด้วยว่า ในช่วง 200 ปีที่ผ่านมาหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม อุณหภูมิโลกได้เพิ่มขึ้นแล้ว 0.6-0.8 องศาเซลเซียส
       
       ขณะที่ความเปลี่ยนแปลงอันน่าสะพรึงกลัวกำลังคืบคลานติดตามมา "6 องศาเซลเซียสเปลี่ยนแปลงโลกได้" จำลองภาพให้เห็นว่า เมื่ออุณหภูมิยังเพิ่มขึ้นอีก 1 องศาเซลเซียสเมื่อใด บ้านเรือนผู้คนในเขตอ่าวเบงกอลอาจต้องจมอยู่ใต้น้ำ มหาสมุทรแอตแลนติกตอนใต้จะถูกพายุเฮอริเคนโจมตีอย่างหนัก หรือแม้แต่พื้นที่ฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ ที่อาจต้องแปรเปลี่ยนไปเป็นทะเลทราย
       
       ส่วนอุณหภูมิที่เขยิบขึ้นเพียง 2 องศาเซลเซียสก็เลวร้ายเพียงพอทำให้มหานครหลายแห่งทั่วโลกจมอยู่ใต้น้ำ หนึ่งในนั้นคือ “กรุงเทพมหานคร” รวมทั้งหมีที่อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือจะตกอยู่ในภาวะคับขันเพราะธารน้ำแข็งหดหายไป   
   
       นอกจากนั้น เมื่ออุณหภูมิเพิ่มถึงจุดนี้ แนวปะการังใหญ่ "เกรต แบริเออร์ รีฟ" ของออสเตรเลียอาจเหลือเพียงความทรงจำ และธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุดของกรีนแลนด์ที่ชื่อ “จาคอบชวาน” (Jacobshavn) ก็จะละลายเร็วขึ้นกว่าปัจจุบันที่มีอัตราการละลายตัวของน้ำแข็งอย่างน่าตกใจ เพราะเพียง 2 วันก็มีปริมาณน้ำที่เกิดขึ้นเพียงพอให้ชาวนิวยอร์กดื่มกินและใช้ในชีวิตประจำวันได้มากถึง 1 ปีทีเดียว
       
       “ธารา บัวคำศรี” ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แสดงความคิดเห็นหลังชมตัวอย่างสารคดีอย่างปลงๆ ว่า หลังจากดูสารคดีเรื่องนี้แล้วก็ทำให้เขารู้สึกหดหู่ใจไม่น้อย โดยเฉพาะการได้เห็นภาพผลกระทบที่เกิดขึ้นตามที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์อย่างรวดเร็วผ่านเทคนิคการถ่ายทำแบบ “ฮอลลีวูด” ที่เร่งให้เห็นผลกระทบรวดเร็วขึ้น
       
       อย่างไรก็ดี เขาบอกว่า เมื่อถึงเวลานั้น ตัวเขาเองคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ทว่าคงเป็นลูกหลานของเราที่จะรับผลกระทบจากมหันตภัยธรรมชาตินานัปการที่เกิดขึ้นแทน
       
       ส่วนความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น 3 องศาเซลเซียส ตามที่สารคดีดังกล่าวระบุไว้คือ เมื่อนั้นน้ำแข็งบนภูเขาแอลป์จะสูญหายไปทั้งหมด โลกจะเผชิญหน้ากับพายุเฮอริเคนความแรงระดับ 6 ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และการใช้ชีวิตของผู้คนบนโลกจะต้องพลิกโฉมหน้าไปสิ้นเชิง
       
       เมื่อโลกร้อนขึ้น 4 องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำในมหาสมุทรต่างๆ จะมีระดับเพิ่มสูงขึ้นจนระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นกว่า 1 เมตร ทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่มีประชากรหนาแน่น เมืองแห่งแม่น้ำลำคลองอย่าง “เวนิส” รวมไปถึงมหานครสัญลักษณ์ของ “อำนาจทุนนิยม” อย่าง “นิวยอร์ก” จะจมอยู่ใต้บาดาล
       
       ไม่เพียงเท่านี้ แม่น้ำคงคาที่เป็นแหล่งน้ำแห่งชีวิตของคนกว่าพันล้านคนในจีน อินเดีย และเนปาลจะเกิดน้ำท่วมอย่างหนักเนื่องจากธารน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยละลายลงมาจนหมดอย่างถาวร กระทบถึงแหล่งน้ำสะอาดและแหล่งผลิตอาหารอย่างฉกาจฉกรรจ์
       
       จากนั้นเมื่อโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น 5 องศาเซลเซียส มหานครของโลกอย่างลอสแองเจลลิส กรุงไคโร ลิมา และบอมเบย์ที่เคยปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็งในบางช่วงเวลาอาจจะกลายเป็นเมืองที่ไม่มีหิมะอีกเลย อีกทั้งจะมีผู้ลี้ภัยเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงหลายสิบล้านคนและยังมีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดความขัดแย้งในการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติที่ขาดแคลนเพิ่มสูงขึ้นด้วย
       
       และในท้ายที่สุด หากอุณหภูมิโดยเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นถึง 6 องศาเซลเซียส โลกของเราจะมีสภาพคล้ายคลึงกับยุคครีเตเซียสเมื่อประมาณ 65-144 ล้านปีก่อนซึ่งโลกมีอุณหภูมิสูงกว่าปัจจุบันมาก น้ำทะเลจะมีสีใสเพราะไม่มีสารอาหารในทะเลหลงเหลืออยู่เลย ทะเลทรายจะครอบครองพื้นโลกมากขึ้นตามทวีปต่างๆ และการเกิดภัยพิบัติจะเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน
       
       เมื่อเทียบเคียงกับรายงาน 2 ฉบับแรกของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ไอพีซีซี) พบว่า หากเรายังคงปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศอย่างไม่มีขีดจำกัด อาจทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นถึง 6 องศาเซลเซียส ภายในปี 2643 หรืออีก 92 ปีข้างหน้านี้เท่านั้น
       
       แต่ถึงจะดูเหมือนไร้ความหวังรอดพ้นจากวิกฤตินั้น ธารา มองว่าเราทุกคนยังช่วยกันหาทางออกของปัญหาดังกล่าวได้ดังที่ไลนัสฝากไว้ให้ขบคิดก่อนที่อุณหภูมิโลกจะสูงขึ้นแตะเส้น 2 องศาเซลเซียสที่เป็นจุดพลิกผัน
       
       เริ่มจากการที่เราเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ ด้วยการกระทำง่ายๆ ไม่ต้องถึงกับตั้งเป้าอะไรที่ดูเป็นนามธรรมเกินไปก็ได้ ต่างคนต่างเริ่มที่ตัวเองก่อน ซึ่งทุกคนมีรูปแบบการใช้ชีวิตต่างกัน การร่วมด้วยช่วยกันนี้จึงไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน

       หรือแม้แต่การประหยัดพลังงานง่ายๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ดังที่แนะนำไว้ในสารคดีเช่น การถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งหลังใช้งาน และการเลี่ยงใช้โหมดสแตนด์บายในเครื่องใช้ไฟฟ้า อย่างทีวีและคอมพิวเตอร์อันจะช่วยให้ลดการสูญเสียไฟฟ้าอย่างไร้ค่าหรือที่เรียกว่า "แวมไพร์โหลด" ได้อักโข ซึ่งจำนวนไฟฟ้าดังกล่าวเทียบได้กับกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าถึง 18 โรงทีเดียว
       
       ขณะที่มุมมองจาก ดร.แสงจันทร์ ลิ้มจิรกาล ผอ.หลักการปรัชญาดุษฎีบัณฑิต ศิลปศาสตร์ มหาบัณฑิต สาขาสิ่งแวดล้อม การพัฒนาและความยั่งยืน บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยว่า แม้สารคดีนี้จะให้ข้อมูลได้ระดับหนึ่ง ซึ่งในสายตาของนักวิทยาศาสตร์แล้ว ดูจะพูดเกินจริงไปเล็กน้อยเพื่อหวังจะให้คนกลัวและหันมาสนใจ ทว่าก็ยังมีข้อมูลอีกมากที่ต้องทำให้สาธารณชนรับทราบด้วย
       
       “ระยะหลังมานี้ สื่อมวลชนเองได้ติดตามให้ความรู้แก่ประชาชนมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังมองว่าไม่เพียงพอ และอาจต้องบรรจุลงในหลักสูตรการเรียนการสอนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา-มหาวิทยาลัยไปเลย อย่างน้อยๆ ก็ทำให้ผู้คนได้ตะหนักรู้ถึงที่มาที่ไปของปัญหาและผลกระทบที่จะได้รับ ขณะเดียวกันก็อยากกระตุ้นเตือนให้ภาครัฐทำงานประสานงานกันในเรื่องดังกล่าวมากขึ้นด้วย” ดร.แสงจันทร์ทิ้งท้าย
       
       สำหรับสารคดี "อุณหภูมิ 6 องศาเซลเซียสเปลี่ยนแปลงโลกได้" จะลงจอให้ชมกันในเวลา 20.00 น.ของวันเสาร์ที่ 15 มี.ค.51 ทางช่องสารคดี "เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ชาแนล เอเชีย" (ทรูวิชั่นส์ ยูบีซี 45)


***********************************************



เมื่อโลกร้อนขึ้น 1 องศาเซลเซียสยังจะทำให้มหาสมุทรอาร์กติกปราศจากน้ำแข็งเป็นเวลานานถึง 6 เดือนทีเดียว (ภาพจากเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ชาแนล เอเชีย)



หากอุณหภูมิสูงขึ้นแตะเส้น 2 องศาเซลเซียส ธารน้ำแข็งในกรีนแลนด์จะค่อยๆ ละลาย และหมีขาวขั้วโลกเหนือจะเป็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกๆ ที่ได้รับผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้ (ภาพจากเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ชาแนล เอเชีย)



ในสารคดียังบอกด้วยว่า เมื่อโลกร้อนขึ้น 3 องศาเซลเซียส ป่าอะเมซอนจะแห้งแล้งและเกิดไฟป่าซ้ำๆ ทำให้ปล่อยคาร์บอนหลายร้อนตันออกมาสู่ชั้นบรรยากาศ (ภาพจากเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ชาแนล เอเชีย)



เมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงถึง 3 องศาเซลเซียสยังจะทำให้เกิดปรากฏการณ์เอลนิโญ ทำให้เกิดความแห้งแล้งในที่ที่เคยมีฝนตก และเกิดฝนตกหนักในที่ที่ไม่เคยตกมาก่อน (ภาพจากเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ชาแนล เอเชีย)



หากโลกร้อนยังร้อนขึ้นถึง 4 องศาเซลเซียส น้ำแข็งที่เต็มไปด้วยหิมะในเทือกเขาหิมาลัยจะละลายจนหมดภายในปี 2578 หากอัตราการละลายยังอยู่ในระดับเดียวกับปัจจุบัน (ภาพจากเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ชาแนล เอเชีย)



เมื่อโลกร้อนขึ้น 4 องศาเซลเซียส แผ่นน้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกตะวันตกอาจจะละลายและจมหายไปในทะเล (ภาพจากเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ชาแนล เอเชีย)



เมื่อโลกร้อนขึ้น 5 องศาเซลเซียสจะเกิดการอพยพครั้งใหญ่ และเกิดสงครามแย่งชิงทรัพยากรเกิดขึ้น (ภาพจากเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ชาแนล เอเชีย)



เมื่ออุณหภูมิร้อนขึ้น 6 องศาเซลเซียส โลกจะมีสภาพเหมือนยุคครีเตเซียสเมื่อ 65-144 ล้านปีก่อนซึ่งมีอุณหภูมิสูงกว่าปัจจุบันมาก (ภาพจากเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ชาแนล เอเชีย)



เมื่อร้อนขึ้นถึง 6 องศาเซลเซียส จะเกิดการขยายตัวของทะเลทรายในทวีปต่างๆ (ภาพจากเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ชาแนล เอเชีย)



ในท้ายที่สุด เมื่อโลกร้อนขึ้นถึง 6 องศาเซลเซียส น้ำทะเลจะมีสีฟ้าใสสวยงาม ทว่าไม่มีสารอาหารหลงเหลืออยู่เลย (ภาพจากเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ชาแนล เอเชีย)





จาก                 :                    ผู้จัดการออนไลน์   วันที่ 13 มีนาคม 2551 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 13, 2008, 01:07:00 AM โดย สายน้ำ » บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
kungkings
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 791



« ตอบ #211 เมื่อ: มีนาคม 13, 2008, 01:51:55 AM »

เหมือนจะสวยขึ้น แต่น่ากลัวมาก ๆ 
บันทึกการเข้า

ทำวันนี้ และวันหน้าให้ดีที่สุด...
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #212 เมื่อ: มีนาคม 17, 2008, 12:38:56 AM »


โลกร้อนไล่คน


ภายในปี 2563 โลกจะร้อนจนคนหลายล้านคนอพยพหนีภัยธรรมชาติจากภูมิภาคอื่นเข้าไปหาความอุดมสมบูรณ์ในยุโรปซึ่งสหภาพยุโรป (อียู) จะต้องเตรียมรับมือไว้แต่เนิ่นๆ

การขาดเคลนน้ำและอาหาร รวมทั้งน้ำท่วมเป็นแรงผลักดันให้คนจากแอฟริกา ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ เอเชียกลาง ละตินอเมริกาและคาริบเบียนหลั่งไหลเข้ายุโรป

ภัยธรรมชาติส่อเค้ารุนแรงมากขึ้นทุกขณะ ในทวีปแอฟริกาเหนือและแอฟริกาตอนใต้ประสบกับความแห้งแล้งและปริมาณฝนลดลง ประกอบกับอุณหภูมิสูงขึ้นทำให้สูญเสียพื้นที่เพาะปลูกไปถึงร้อยละ 75

ระดับน้ำทะเลจะหนุนขึ้นสูงบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ทำให้ดินในพื้นที่ทำการเกษตรเค็มส่งผลให้เสียพื้นที่ที่เหมาะแก่การเพาะปลูกร้อยละ 12-15 ซึ่งจะกระทบต่อชีวิตประชากรถึง 5 ล้านคนภายใน 12 ปีข้างหน้านี้

ส่วนตะวันออกกลางและเอเชียใต้กำลังเผชิญหน้ากับปริมาณน้ำสำหรับการเกษตรลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่ออียูแล้วในขณะนี้ เพราะทั้ง 2 ภูมิภาคทำการค้าขายและเชื่อมโยงด้านการเงินกับอียู

ขณะที่เอเชียกลาง ละตินอเมริกาและคาริบเบียนก็ประสบภัยขาดแคลนน้ำและผลิตผลการเกษตรลดลง อาหารการกินก็น้อยลงไปด้วย

เมื่อคนย้ายถิ่นไปอยู่ในยุโรปมากขึ้นทำให้มีความต้องการน้ำมากขึ้นจนอาจนำมาสู่การขาดแคลนน้ำและอาหาร ในที่สุดผู้ที่หนีความหิวโหยกลับต้องทนทุกข์ต่อไปในถิ่นใหม่และยังทำให้เจ้าถิ่นพลอยเดือดร้อนไปด้วย กลายเป็นปัญหางูกินหางที่ไม่รู้จบ

คาดการณ์อีกว่าปัญหาความตึงเครียดระหว่างคนต่างเชื้อชาติและศาสนาจะรุนแรงขึ้นด้วย

ความรุนแรงของปัญหามากมายแค่ไหนนั้น อังกฤษคาดว่าต่อไปการแข่งขันแย่งชิงอาหาร น้ำและผืนดินจะเป็นตัวนำมาสู่ความขัดแย้งและสงครามเลยทีเดียว



จาก                    :                  ข่าวสด  คอลัมน์รุ้งตัดแวง  โดย  สปาย-กลาส    วันที่ 17 มีนาคม 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #213 เมื่อ: มีนาคม 17, 2008, 12:54:34 AM »


ยูเอ็นเตือนโลกป้องธารน้ำแข็งละลาย



สวิตเซอร์แลนด์  -  ยูเอ็นเตือนนานาชาติร่วมกันป้องภัยธารน้ำแข็งละลายตัวอย่าง มหาศาล หลังเจอวิกฤติโลกร้อน ด้านอัล กอร์ จี้อินเดียร่วมแก้ปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยน

      สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า  โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ  หรือยูเอ็นอีพี      เปิดเผยรายงานว่าด้วยสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงหรือภาวะโลกร้อน   ระบุว่า  บรรดาธารน้ำแข็งหลายแห่งบนโลกมนุษย์กำลังอยู่ในสภาวะน่าเป็นห่วง เนื่องจาก  กำลังประสบกับการละลายครั้งใหญ่  ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน ภายหลังจากกลุ่มเฝ้า ระวังธารน้ำแข็งหรือดับเบิลยูจีเอ็มเอส     ที่มีสำนักงานอยู่ในมหาวิทยาลัยซูริก  ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทำการศึกษาธารน้ำแข็งกว่า 30 แห่งทั่วโลก โดยนายอาชิม  สไตเนอร์ ผู้อำนวยการของยูเอ็นอีพี กล่าวว่า จากเหตุธารน้ำแข็งละลายดังกล่าว ก็จะส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วโลกนับพันล้านคน ทั้งทางตรงและทางอ้อม

  พร้อมกันนี้   ยังได้เรียกร้องให้นานาชาติร่วมปฏิบัติการทันทีเพื่อป้องกันการเกิดผลกระทบข้างต้น  นอกจากนี้  ยังอ้างรายงานของดับเบิลยูจีเอ็มเอส โดยระบุว่า ขนาดธารน้ำแข็งทั่วโลกในปี  2549  มีขนาดเล็กลงเฉลี่ยแล้วมีประมาณมากถึง 1.4 เมตร ซึ่งมากกว่าในการศึกษาเมื่อช่วงปี 2548 ที่มีขนาดเฉลี่ยประมาณ 50 เซนติเมตรเท่านั้น 

      ขณะเดียวกัน  ทางด้านนายอัล กอร์ เจ้าของรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ปีล่าสุด  ออกมาเรียกร้องให้อินเดียเป็นแกนนำในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน  ในฐานะที่ประเทศ แห่งนี้เจริญรุดหน้าในหลายๆ ด้าน รวมทั้งเทคโนโลยี และพลังงาน



จาก                    :                  สยามรัฐ    วันที่ 17 มีนาคม 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #214 เมื่อ: มีนาคม 18, 2008, 12:31:37 AM »


ธารน้ำแข็งละลายเร็วขึ้น


สหประชาชาติออกรายงานระบุว่า ธารน้ำแข็งเกือบ 30 สายทั่วโลกได้ละลายจนถึงขีดต่ำสุดเมื่อปี 2549

โครงการสิ่งแวดล้อมของยูเอ็น  หรือยูเนป  บอกว่า ภาวะน้ำแข็งละลายจะส่งผลกระทบมากมาย โดยเฉพาะในอินเดีย ซึ่งแม่น้ำหลายสายต้องอาศัยน้ำจากธารน้ำแข็งในแถบเทือกเขาหิมาลัย

ชายฝั่งตะวันตกของอเมริกาเหนือ  ซึ่งรับน้ำจากธารน้ำแข็งสายต่างๆ ในเขตเทือกเขาร็อกกี และเทือกเขาเซียร์ราเนวาดาก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน

อาชิม สไตเนอร์ ผอ.ยูเนป บอกว่า ภาวะน้ำแข็งละลายเร็วในอัตราที่น่าตกใจเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อผู้คนนับพันล้าน  เพราะธารน้ำแข็งเป็นแหล่งกักเก็บน้ำตามธรรมชาติ  ในแต่ละปีต้องมีการใช้น้ำเหล่านี้สำหรับดื่ม ทำการเกษตร ปั่นกระแสไฟฟ้า และหล่อเลี้ยงโรงงานอุตสาหกรรมเกือบตลอดเวลา

ศูนย์เฝ้าติดตามธารน้ำแข็งโลก  หรือ  World Glacier Monitoring Service ของมหาวิทยาลัยซูริก  ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากยูเนป  บอกว่า  ตัวการที่ทำให้ธารน้ำแข็งละลายเร็วก็คือภาวะโลกร้อน

ศูนย์ดังกล่าวได้ศึกษาธารน้ำแข็งเกือบ  30  สายในเทือกเขา  9 แห่ง พบว่า ระหว่างปี  2547-2548 และปี 2548-2549 นั้น อัตราการละลายได้เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัว

"แนวโน้มนี้กำลังเกิดขึ้นในอัตราเร่ง   ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะยุติ"   วิลฟรีด  เฮเบอร์ลี ผอ.ศูนย์ฯ กล่าว

แม้ว่าเดี๋ยวนี้จะเริ่มมีการปรับทิศทางการพัฒนาประเทศให้คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่คำว่า "เศรษฐกิจสีเขียว" ในทิศทางใหม่นี้ก็ยังไม่ค่อยเป็นจริงเท่าไรนัก

สไตเนอร์บอกว่า   การประชุมเกี่ยวกับภูมิอากาศโลกในปี  2552  ที่กรุงโคเปนเฮเกน  จะเป็นบททดสอบว่า  รัฐบาลต่างๆ จะเอาจริงกันแค่ไหนกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนที่เกิดจากเชื้อเพลิงฟอสซิล

เขาบอกว่า ถ้าประเทศต่างๆ ไม่เอาจริง โอกาสที่จะแก้ไขภาวะโลกร้อนก็จะละลายหายสูญไปเช่นเดียวกับธารน้ำแข็ง

ผลการตรวจวัดพบว่า  ธารน้ำแข็งได้บางลงอย่างรวดเร็ว  ซึ่งสามารถแสดงปริมาณได้โดยเทียบกับน้ำ

เมื่อปี 2549 น้ำแข็งได้ลดระดับลงไป 1.4 เมตร ขณะที่เมื่อปี 2548 นั้นลดลงไปแค่ครึ่งเมตร

ธารน้ำแข็งบางสายได้บางลงอย่างมาก  เช่น  ธารน้ำแข็งเบรดาลบลิคเบรีย  ซึ่งบางลงเกือบ 3.1 เมตรในปี 2549 เทียบกับ 0.3 เมตรเมื่อปี 2548

ธารน้ำแข็งอีกหลายสายในยุโรปก็บางลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ไม่ว่าในออสเตรีย ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน สวีเดน หรือเนเธอร์แลนด์

มีแค่ 4% ในจำนวนธารน้ำแข็ง 30 สายที่มีความหนายิ่งขึ้น.




จาก                    :                  X-cite  ไทยโพสต์  คอลัมน์โลกน่ารู้     วันที่ 17 มีนาคม 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #215 เมื่อ: มีนาคม 18, 2008, 12:37:12 AM »


เตือนธารน้ำแข็งวิกฤติ เร่งคุมก๊าซเรือนกระจก   

ผลการศึกษายูเอ็น ระบุ ธารน้ำแข็งทั่วโลกกำลังละลายเร็วอย่างน่าวิตก พร้อมเรียกร้องนานาชาติหามาตรการยับยั้งการละลายโดยด่วน

ซูริค-ผลการศึกษาโดยสำนักงานติดตามธารน้ำแข็งโลก (WGMS) ซึ่งสนับสนุนโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ระบุว่า จากการสำรวจธารน้ำแข็งกว่า 30 แห่งระหว่างปี 2547-48 และ2548-46 พบว่า อัตราการละลายของธารน้ำแข็งโดยเฉลี่ยสูงขึ้นมากกว่า 2 เท่าจากสถิติประวัติการณ์ในรอบหลายสิบปีเมื่อปี 2541

ผลสำรวจระบุว่า การละลายของธารน้ำแข็งหลายแห่งเริ่มน่าวิตก โดยเฉพาะธารน้ำแข็งที่นอร์เวย์ซึ่งละลายไปถึง 3.1 เมตรในปี 2549 เทียบกับที่วัดได้ 0.3 เมตรเมื่อปี 2548 ขณะเดียวกันก็พบธารน้ำแข็งในทวีปยุโรปหลายประเทศที่เริ่มละลายเร็วอย่างเห็นได้ชัด ทั้งในออสเตรีย ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน สวีเดน และสวิตเซอร์แลนด์ อย่างไรก็ดี พบด้วยว่าธารน้ำแข็งร้อยละ 4 ก่อตัวหนาขึ้น

 อีกด้านหนึ่ง นายอาชิม สไตเนอร์ ผู้อำนวยการยูเอ็นอีพีระบุว่า ธารน้ำแข็งเป็นแหล่งกักเก็บน้ำตามธรรมชาติที่มีความสำคัญต่อประชาชนหลายล้านคนทั่วโลก จึงเรียกร้องให้นานาประเทศหามาตรการลดกาซเรือนกระจกจากเชื้อเพลิงปิโตรเลียม ซึ่งกำลังส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศโดยด่วนก่อนจะสายเกินไป



จาก                    :                  แนวหน้า     วันที่ 18 มีนาคม 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #216 เมื่อ: มีนาคม 20, 2008, 12:16:21 AM »


ยูเอ็นเปิดข้อมูลธารน้ำแข็งหดเพิ่มขึ้น 5 เท่าในเวลาไม่ถึงสิบปี


จากการศึกษาของยูเอ็นพบว่าธารน้ำแข็งในเทือกเขาหลายแห่งได้หดลงไปมาก
 
 
       บีบีซีนิวส์-ยูเอ็นอีพีเผยข้อมูลธารน้ำแข็งหดตัวก้าวกระโดดจากปีละ 30 เซนติเมตร ขึ้นเป็นปีละ 1.5 เมตรในเวลาไม่ถึง 10 ปี
       
       โครงการสิ่งแวดล้อมของสหประชาชาติ (ยูเอ็นอีพี) เผยข้อมูลธารนำแข็งทั่วโลกหดตัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้น จากช่วงปี 2523-2542 ที่ธารน้ำแข็งหดตัวเฉลี่ยปีละ 30 เซนติเมตรเป็น 1.5 เมตรในปี 2549 โดยเฉพาะเทือกเขาแอลป์ส (Alps) และเทือกเขาไพรีนีส (Pyrenees) ในยุโรปที่พบการหายไปของน้ำแข็งจำนวนมาก ทั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ธารน้ำแข็งในเทือกเขา 9 แห่ง
       
       ผู้เชี่ยวชาญหลายคนได้เรียกร้องให้มี "ปฏิบัติการโดยฉับพลัน" เพื่อพลิกแนวโน้มการหดอย่างรวดเร้วของธารน้ำแข็งที่เกิดขึ้นนี้ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (climate change) ทั้งนี้ประมาณกันว่าในปี 2549 มีปริมาณน้ำแข็งหดตัวไป 1.4 เมตร ขณะที่ในปี 2548 หดไป 0.5 เมตร
       
       อชิม สไตเนอร์ (Achim Steiner) ผู้อำนวยการใหญ่โครงการสิ่งแวดล้อมสหประชาชาติ กล่าวว่าผู้คนหลายล้านหรือไม่ก็หลายพันล้านขึ้นตรงต่อทรัพยากรน้ำที่กักเก็บไว้ในธรรมชาตินี้เพื่อดื่ม การเกษตร อุตสาหกรรมและการผลิตกระแสไฟฟ้าในช่วงสำคัญของปี โดยธารน้ำแข็งได้ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอันเนื่องจากการเผาไหม้ถ่านหินและเราก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ พร้อมเผยว่าได้ดำเนินการเบื้องต้นที่จะพัฒนา "ธุรกิจเขียว" โดยการลงทุนด้านพลังงานทดแทนมากขึ้น
       
       ดร.วิลฟรีด ฮาเบอร์ลี (Dr.Wilfried Haeberli) ผู้อำนวยการหน่วยติดตามธารน้ำแข็งโลก (World Glacier Monitoring Service) ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยยูเอ็นดีพี กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดและการสูญเสียน้ำแข็งก็ยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งในช่วง 25 ปีที่ผ่านมานี้ โดยตั้งแต่ปี 2523 สูญธารน้ำแข็งไปแล้ว 10.5 เมตร โดยค่าเฉลี่ยธารน้ำแข็งที่หดไป 1 เมตรเทียบเท่ากับความหนาของน้ำแข็ง 1.1 เมตร นั่นหมายความว่ากว่า 20 ปีที่ผ่านมาความหนาของน้ำแข็งลดไปแล้ว 11.5 เมตร
       
       ทั้งนี้ทีมวิจัยได้ศึกษาธารน้ำแข็งทำหมด 100 แห่งในประเทศแถบยุโรป ได้แก่ ออสเตรีย นอร์เวย์ สวีเดน อิตาลี สเปนและสวิตเซอร์แลนด์ โดยในช่วงแข็งมากที่สุดแห่งหนึ่ง.



จาก                    :                  ผู้จัดการออนไลน์     วันที่ 20 มีนาคม 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #217 เมื่อ: มีนาคม 26, 2008, 12:26:45 AM »


"โลกร้อน"...เพราะเราเป็นเพียงกาฝากเกาะกินโลก ?



          ในแต่ละปี มีการมอบเงินอุดหนุนถึง 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมประมง...ท้องทะเล กำลังจะว่างเปล่า
       
            ถุงพลาสติก 1 ใบ ใช้เวลาผลิตแค่ 1 วินาที นำมาใช้งานเพียง 20 นาที แต่ต้องใช้เวลาถึง 100-400 ปี ในการย่อยสลายไปตามธรรมชาติ...ในแต่ละปี คนทั่วโลกใช้ถุงพลาสติก 500,000 ถึง 1,000,000 ล้านใบ
       
            ปริมาณน้ำกำลังจะกลายเป็นประเด็นหลักในระดับโลก เมื่อผู้คน 1,000 ถึง 2,000 ล้านชีวิต ต้องดิ้นรนหาน้ำวันละ 20-50 ลิตรมาไว้ดื่มกิน หุงหาอาหาร และทำความสะอาด
       
            ภายในปี 2015 คาดกันว่าความต้องการน้ำมันของโลกจะเพิ่มขึ้น
       จนแตะระดับ 99 ล้านบาร์เรลต่อวัน
       
            ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงราคาถูก หาง่าย และสกปรกที่สุด ในแต่ละปี เรานำเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดนี้มาใช้มากกว่า 6,000 ล้านตัน
       
            ผู้คน 6,600 ล้านคนทั่วโลก กำลังอพยพเข้าสู่เขตเมืองและแถบชานเมือง
       
            คนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 2 คน มีเงินมากกว่าค่าจีดีพีของประเทศยากจนที่สุด 45 ประเทศรวมกัน
       
            ประชากรโลก 3,000 ล้านคน มีเงินใช้ไม่ถึงวันละ 2 ดอลลาร์สหรัฐ
       
            ช่องว่างระหว่างคนรวย-คนจน ถ่างกว้างมากขึ้น
       
       
            ...สถิติเหล่านี้เป็นเพียงเสี้ยวธุลีของปัจจัยสำคัญและผลกระทบมหาศาลอันเนื่องมาจากวิกฤติโลกร้อน รวมถึงภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงจากสภาวะเรือนกระจก


     
            จุดกำเนิดของภาวะวิกฤติอันน่าตระหนกดังกล่าว อาจมิได้มาจากปัจจัยภายนอกอื่นใดเลย หากเกิดจากจิตสำนึกอันบกพร่องของมนุษย์เรานี่เอง จิตสำนึกที่มุ่งแต่จะตักตวง กอบโกย เรียกร้องเอาจาก “โลก” โดยมิไยดีถึงการรักษา เยียวยาบาดแผลที่เราต่างร่วมสังฆกรรมขุดเจาะ ถอนรากถอนโคน ในทุกๆ ทรัพยากรอันมีค่าที่โลกมอบให้เพื่อนำมาเป็นของตนแต่เพียงผู้เดียว
       
            ทั้งที่สิ่งเหล่านั้นดำรงอยู่เพื่อทุกสรรพชีวิต มิใช่ของใคร หรือของ “เผ่าพันธุ์ใด เผ่าพันธุ์หนึ่ง” แต่มนุษย์ก็เสนอหน้าขอรับสิทธิดังกล่าว โดยสิ่งมีชีวิตอื่นมิอาจคัดค้านต้านทาน       
       
            กระทั่งวันนี้ บทลงทัณฑ์เดินทางมาถึง ธรรมชาติกำลังเอ่ยปากเรียกร้องทวงสิทธิ์ให้ “มนุษย์” หันกลับมามองการกระทำอันเลวร้ายของตน ทำความเข้าใจ เพื่อหาหนทางรักษา เยียวยา
               
            ปรากฏการณ์น้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง, โรคระบาด, น้ำท่วมครั้งใหญ่, ภูเขาน้ำแข็งขั้วโลกละลาย, ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูง, ปะการังเกิดการฟอกขาว, สัตว์ป่าหลายชนิดสูญพันธุ์ รวมถึงปัญหาด้านระบบนิเวศน์อีกเกินจะนับที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ไม่เพียงกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในอาณาบริเวณนั้นๆ หากทว่า มันคือ “ผีเสื้อขยับปีก” ที่ส่งผลสะเทือนถึงทุกๆ วิถีชีวิตที่กำลังดำเนินอยู่บนโลกใบนี้


       
            ดังเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ใน "ชีพจรโลก ท่ามกลางวิกฤติโลกร้อน" จาก NATIONAL GEOGRAPHIC หนังสือซึ่งรวบรวมภาพและข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบจากโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่เกิดขึ้นทั่วโลกได้อย่างเจาะลึก นับแต่สภาพความเป็นอยู่ของมวลมนุษย์ เรื่อยไปถึงสายสัมพันธ์ระหว่างเรากับธรรมชาติ ก่อนจะนำไปสู่ยุคสมัยที่โลกทั้งใบเชื่อมโยงถึงกัน
               
            ภาวะวิกฤติที่ถูกเอ่ยถึง คล้ายจะเป็นเรื่องไกลตัว แต่ความจริงที่ว่า เราทุกคนล้วนถูกโยงใยไว้ด้วยกัน ทุกๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลกจึงย่อมได้รับผลจากการกระทำของเรา ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่
               
            ภาพความเป็นจริงที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มนี้ นับแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้าย แม้จะบอกกล่าวถึงข้อมูลอันน่าหวาดหวั่น แต่โลกใบนี้ก็กำลังรอคอยการแต้มสีลงไปอีกครั้งด้วยความหวังและการร่วมมือกันเยียวยาอย่างจริงจังจากเราทุกคน
               
            ดังคำนิยมในเล่ม ที่ ดร. อ้อย กาญจนะวนิชย์ เลขาธิการมูลนิธิโลกสีเขียว ฝากไว้ น่าจะกระตุกจิตสำนึกของคนในสังคมได้ไม่มากก็น้อย
               
            “คนไทยโดย เฉพาะคนกรุงเทพฯ มีบทบาทสำคัญในการร่วมกำหนดอนาคตโลก เพราะคนกรุงเทพฯ เรา ปล่อยคาร์บอนเฉลี่ยต่อหัวต่อปีถึงคนละ 7.3 ตัน เท่าๆ กับชาวนิวยอร์ก (7.1 ตัน) และมากกว่าชาวลอนดอน ( 5.9 ตัน) กับชาวโตเกียว (5.7 ตัน) เมื่อพิจารณาดีๆ จะเห็นว่าไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะร้อยละ 50 มาจากการเผาน้ำมันไปกับการจราจรที่ขาดระบบขนส่งมวลชนที่ดีพอ อีกร้อยละ 33 มาจากการใช้ไฟฟ้า ซึ่งกว่าครึ่งหนึ่งหมดไปกับเครื่องปรับอากาศ ไฟฟ้าทั้งหลายที่เราใช้ส่วนใหญ่มาจากน้ำมัน ถ่านหิน และเขื่อน ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพและชีวิตของคนชนบท
             
            "พวกเขาต้องสูญเสียอาชีพ สูญเสียป่าริมน้ำซึ่งเป็นระบบนิเวศน์เฉพาะ สูญเสียพันธุ์ปลาที่ต้องเดินทางอพยพขึ้นลงลำน้ำเพื่อหากิน ผสมพันธุ์ และวางไข่ แลกกับการใช้ไฟฟ้าตามห้างสรรพสินค้าและตึกสำนักงานขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ ที่ใช้ไฟกันเฉลี่ยรายละกว่า 15,000 เมกะวัตต์ชั่วโมง เทียบกับบ้านเรือนที่ใช้กัน เฉลี่ย 6 เมกะวัตต์ชั่วโมง
               
            "เมื่อ 50 ปีก่อน ประเทศไทยมีพื้นที่ป่ามากกว่าร้อยละ 50 และประชากรเพียง 20 ล้านคน ในวันนี้ เราเหลือป่าน้อยกว่าร้อยละ 20 ขณะที่ประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 65 ล้านคน....


 
            "แม้สถานการณ์สิ่งแวดล้อมโลกจะดูหดหู่ แต่มันเป็นโอกาสที่เราจะได้ใช้ศักยภาพพลังสร้างสรรค์ของมนุษย์อย่างเต็มที่ เพราะเราไม่ใช่กาฝากเกาะกินโลกไปวันๆ ชีวิตเรามีความหมายมากกว่าการเป็นเพียงผู้บริโภค เรารับสถานการณ์ท้าทายนี้ได้ แต่เราต้องทำกันทันที”
               
                         .................
               
            สำคัญกว่านั้น ต้องเป็นการลงมือทำอย่างจริงจัง ที่ไม่ใช่เพียงป่าวประกาศผ่านงานอีเวนท์อลังการ, รณรงค์งดใช้ถุงพลาสติกแล้วผลิตถุงผ้าอย่างบ้าคลั่ง-ขณะที่ข้างในถุงผ้าก็ซ้อนถุงพลาสติกไว้อีกชั้นหนึ่ง,

            จัดแคมเปญปิดไฟ 1 ชั่วโมง จากนั้น...ก็แล้วกันไป ปล่อยให้ห้างสรรพสินค้าใหญ่ยักษ์ใจกลางเมืองยังใช้ไฟฟ้ามหาศาลราวกับหลุมดำที่ดูดกลืนทุกสรรพสิ่ง       
       
            การกระทำเพียงเปลือกนอกเพื่อโหนกระแส ไม่ได้ช่วยให้โลกใบนี้ฟื้นขึ้นจากความป่วยไข้...
               
             จิตสำนึกและการร่วมมือ-ลงมือทำอย่างจริงจังต่างหาก...       ที่จะช่วยชะลอกาลอวสานของโลก...ให้มาถึงช้าลง
     
 
                          ...............
       
       
      หมายเหตุ     :      ข้อมูลสถิติที่ยกมาไว้ข้างต้น รวมถึงภาพประกอบบทความ คือข้อมูลจากหนังสือ  "ชีพจรโลกท่ามกลางวิกฤติโลกร้อน" เขียนโดย ทอมัส เฮย์เดน  แปลโดย ลลิตา ผลผลา
   



จาก                    :                  ผู้จัดการออนไลน์     วันที่ 26 มีนาคม 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #218 เมื่อ: มีนาคม 26, 2008, 12:29:32 AM »


อุตุฯชี้โลกร้อนส่งผลอากาศแปรปรวนสุดในรอบ 3 ปี


กรมอุตุฯ เตือนสภาวะโลกร้อน ส่งผลสภาพอากาศแปรปรวนสุดในรอบ 3 ปี อุณหภูมิของประเทศไทยเฉลี่ยสูงสุดในปีนี้จะสูงถึง 41 องศา เตือนภัยธรรมชาติเหตุปรากฏการณ์ลานินญาทำให้มีปริมาณน้ำฝนมากกว่าปกติ

  คนกรุงเทพฯ ระวังลมพายุ 60-70 กม./ชม. หวั่นป้ายโฆษณาโค่น

เมื่อวันที่  25 มีนาคม นายต่อศักดิ์ วานิชขจร รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ให้สัมภาษณ์ว่า สภาพอากาศปีนี้ของประเทศไทยถือว่ามีความรุนแรงและแปรปรวนมากที่สุด  เมื่อเทียบกับ  3 ปีที่ผ่านมา และอุณหภูมิของประเทศไทยเฉลี่ยสูงสุดปีนี้จะสูงถึง 41 องศาเซลเซียส ทั้งนี้ เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวนและภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้น  ซึ่งสภาพอากาศที่มีพายุฤดูร้อนของประเทศไทยเกิดจากสภาพอากาศเย็นที่แผ่ปกคลุมลงมาจึงทำให้เกิดพายุฤดูร้อน นอกจากนี้เชื่อว่าจะทำให้มีพายุฤดูร้อนยาวนานถึงสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้

อย่างไรก็ตาม  เตือนประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ  ภาคอีสาน  และภาคกลาง ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดพายุฤดูร้อนให้เตรียมรับมือกับภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้น  และรับฟังข่าวสารจากกรมอุตุนิยมวิทยา  สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานครในช่วงเดือนเมษายนนี้จะมีลมกระโชกแรง  และอาจทำให้ป้ายโฆษณาและต้นไม้ใหญ่หักโค่นลงมาใส่บ้านเรือนเสียหายได้  จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันเตรียมป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น

นายต่อศักดิ์กล่าวว่า   สภาพอากาศร้อนของประเทศไทยกลางเดือนเมษายนนี้จะสูงสุดอยู่ที่ไม่เกิน  41  องศาเซลเซียส  และในปีนี้วันที่ 27 เมษายน จะเป็นวันที่ดวงอาทิตย์ตั้งฉากกับประเทศไทย แต่จะมีความร้อนอยู่ที่ 36-37 องศาเซลเซียสเท่านั้น

นายเกรียงไกร   กอวัฒนา   รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา  กล่าวว่า เดือนเมษายนจะเกิดพายุฤดูร้อน   หลายจังหวัดมีอากาศเย็นเบียดตัวเข้ามาทำให้เกิดฝนตกและมีลูกเห็บขนาดใหญ่ ส่วนที่กรุงเทพฯ จะมีลมแรงเกินกว่า  60-70  กม./ชม.  ขอเตือนให้ประชาชนระมัดระวังอันตราย   สำหรับฝนตกในช่วงนี้จะไม่ส่งผลต่อผลิตผลทางการเกษตร จึงไม่จำเป็นต้องปลูกข้าวนาปรัง เพราะอาจประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ และขอแนะนำให้รับจัดหาแหล่งกักเก็บน้ำให้เพียงพอในช่วงหน้าแล้ง

"เวลานี้ที่ประเทศในแถบอเมริกาใต้เกิดปรากฏการณ์ลานินญา  ซึ่งเป็นภาวะภัยแล้ง ในขณะเดียวกันปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นตัวบ่งชี้ว่า  ฤดูฝนปีนี้ประเทศไทยจะมีปริมาณน้ำฝนสูงกว่าค่าปกติ   แต่ต้องติดตามตัวเลขอย่างใกล้ชิด เพราะอาจจะเกิดภัยธรรมชาติได้" นายเกรียงไกรระบุ

ขณะที่  ดร.อานนท์  สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์และฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  กล่าวว่า สภาพอากาศร้อนในขณะนี้ถือว่ายังอยู่ในระดับปกติ  ส่วนพายุฤดูร้อนก็เกิดขึ้นเป็นประจำ  จึงสรุปไม่ได้ว่าเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน  เนื่องจากภาวะโลกร้อนจะไม่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิในฤดูร้อนมากนัก   แต่จะส่งผลต่อฤดูหนาวมากกว่าคือ ช่วงกลางคืนจะมีอากาศร้อนอบอ้าว จำนวนวันที่มีอากาศเย็นน้อยลงหรือยาวนานขึ้นผิดปกติ

กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา  04.00 น. วันที่ 25 มีนาคม ว่าบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและด้านตะวันออกของภาคเหนือเริ่มอ่อนกำลังลง  ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนอบอ้าว  ลักษณะเช่นนี้ยังทำให้บริเวณดังกล่าวเกิดพายุฤดูร้อน  โดยมีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกได้ในบางพื้นที่   จึงขอให้ประชาชนโดยเฉพาะบริเวณจังหวัดเชียงราย  พะเยา  น่าน  พิษณุโลก  นครราชสีมา  นครสวรรค์  กาญจนบุรี  ชลบุรี  จันทบุรี และตราด ระมัดระวังอันตรายจากภัยธรรมชาติดังกล่าวในระยะนี้ไว้ด้วย

ทั้งนี้   เมื่อกลางดึกของคืนวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา เกิดพายุฤดูร้อน ลมแรง ฝนตกและลูกเห็บตกอย่างหนักในพื้นที่บ้านวังโพ  บ้านวังจันทร์  และบ้านดงลาน ต.วังจันทร์ อ.สามเงา  จ.ตาก ทำให้บ้านเรือนราษฎรพังเสียหายกว่า 300 หลังคาเรือน บางหลังถูกลมพัดหลังคาเสียหายหมดทั้งหลัง หลังคากระเบื้องถูกลูกเห็บตกใส่ทะลุเสียหายอย่างมาก  ประชาชนไร้ที่อยู่อาศัย ไฟฟ้าดับหมด

นอกจากนั้นยังมีต้นไม้   ไม้ผล  รวมทั้งพืชผลทางการเกษตรเสียหายจำนวนมาก  โดยเฉพาะกล้วยไข่กำลังให้ผลผลิตจำนวนหลายร้อยไร่  หลังเกิดเหตุหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งสำรวจและเข้าช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างเร่งด่วนแล้ว.




จาก                    :                  X-cite  ไทยโพสต์     วันที่ 26 มีนาคม 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
WayfarinG
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2388



« ตอบ #219 เมื่อ: มีนาคม 26, 2008, 01:14:53 AM »

เมื่อเช้าดูข่าว.. เค้าเอารูปที่ถ่ายที่แอนต๊ากติก้า มาให้ดู เห็นเป็นทางน้ำแข็งแตกเป็นชิ้นๆ เนื่องจากภาวะ โลกร้อน.. 


น่ากลัวมากๆ เลยคะ.. 
บันทึกการเข้า

If you reject the food, ignore the customs, fear the religion and avoid the people, you might better stay home.  -- > James Michener
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #220 เมื่อ: มีนาคม 30, 2008, 12:04:10 AM »


มหันตภัย! ที่มิอาจหลีกเลี่ยง
 

 
 นาทีนี้...มนุษย์ทุกคน   ที่อาศัยอยู่บนผืน โลกคงต้องก้มหน้าก้มตายอมรับความจริง !!
 
ขณะเดียวกันก็ต้องเร่ง  หาทางหยุดยั้ง “มหันตภัย”    ทั้งหลายทั้งปวงอันเกิดขึ้นจาก   “ภาวะโลกร้อน” เพราะแม้นักวิทยาศาสตร์จะยังไม่ฟันธงแน่ชัดว่า “หายนะ” ดังกล่าวจะเกิดขึ้นในขั้นวิกฤติเมื่อไหร่ แต่สัญญาณแห่งมหันตภัยร้ายนี้ก็เริ่มเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วในปัจจุบัน
 
ดังจะเห็นได้จากผลกระทบของการสูญเสียชีวิต การไร้ที่อยู่อาศัยของผู้ประสบเคราะห์กรรมจากอิทธิพลของพายุซึ่งเกิดขึ้นในระดับรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การละลายของน้ำแข็งขั้วโลกที่เร็วขึ้นกว่าปกติ การแห้งแล้งกันดารของผืนดินบางแห่ง ในขณะที่บางแห่งเกิดน้ำท่วม บ้านเรือนเสียหาย กลไกธรรมชาติที่เคยสมดุลกลับปรวนแปร เหล่านี้ล้วนเป็นผลมาจากอุณหภูมิของโลกที่เพิ่มสูงขึ้น  ซึ่งนั่นหมายถึง เกือบ 90% เป็นเพราะฝีมือมนุษย์ !


 
ภาวะโลกร้อน คือ ภาวะที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น ทุกวันนี้อุณหภูมิเฉลี่ยของผิวโลกเพิ่ม    ขึ้นประมาณ 1 องศาเซลเซียส  เมื่อเทียบกับ 100 ปีที่แล้ว   โดยเฉพาะช่วงหลัง ค.ศ. 1980 อุณหภูมิของโลกได้พุ่งสูงขึ้น อย่างรวดเร็ว คณะกรรมการ ระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ไอพีซีซี) ของสหประชาชาติ รายงานว่า ภายในสิ้นศตวรรษที่ 21 หรืออีกราว 100 ปีข้างหน้า หากอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ยังเป็นเช่นนี้อยู่ อุณหภูมิเฉลี่ยของผิวโลกอาจเพิ่มขึ้นถึง 6 องศาเซลเซียส นั่นคือ เพิ่มในอัตราเร็วขึ้นจากปัจจุบันถึง 10 เท่า
 
สาเหตุสำคัญของการ  เกิดภาวะโลกร้อน ไอพีซีซี ซึ่งประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์ กว่า 2,500 คน จากทั่วโลกที่    มารวมตัวกันเพื่อทำงานสืบหาสาเหตุ และคิดค้นวิธีแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน กล่าวไว้ว่า มีความเป็นไปได้สูงกว่าร้อยละ 90 ว่า การกระทำของมนุษย์ คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซมีเทน ไนตรัสออกไซด์ สารซี  เอฟซี เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้โลกร้อนขึ้น


 
ปัจจุบัน บรรยากาศของ โลกมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  3 ล้านล้านตัน และมนุษย์ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศปีละ 24,000 ล้านตัน ขณะที่เมื่อทศวรรษ 1970 มนุษย์ปล่อยก๊าซชนิดนี้เพียงปีละ 15,000 ล้านตัน โดยกิจกรรมของมนุษย์ที่ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออก ไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ประกอบด้วย โรงงานอุตสาหกรรม 40% อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า บ้านพักอาศัย 31% การขนส่งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ 22% และการเกษตรกรรม 4%
 
ประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศมากที่สุด คือ สหรัฐอเมริกา คนอเมริกันปล่อยก๊าซชนิดนี้ปีละ 5,762 ล้านตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 24 ของปริมาณก๊าซทั่วโลก ตามมาด้วยจีน ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศปีละ 3,474 ล้านตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 15 ขณะที่ คนไทย โดยเฉพาะ คนกรุงเทพฯ ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศปีละ 172 ล้านตัน ซึ่งถือว่าสูงกว่าประเทศในแถบเอเชียอาคเนย์
 
ทั้งนี้ผลกระทบสำคัญที่เกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อนอันส่งผลโดยตรงต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ รวมถึงพืช และสัตว์ นอกจากปัญหา การละลายของน้ำแข็งขั้วโลก ที่ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นแล้ว ภาวะโลกร้อนยังเป็นสาเหตุให้บาง พื้นที่เกิดความแห้งแล้ง ฝนไม่ตกตามฤดูกาล ส่งผลให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำและทะเลสาบหลายแห่งทั่วโลกลดลง สัตว์ป่าหลายชนิดอาจขาดแคลนแหล่งน้ำธรรมชาติ และอาจส่งผลให้สัตว์ป่าในแอฟริกาตั้งแต่ นกไปจนถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมต้องสูญพันธุ์ เกิดความอดอยาก เนื่องจากผลิตผลทางการเกษตรตกต่ำ นอกจากนี้ความแห้งแล้งยังก่อให้ เกิดไฟไหม้ป่าอย่างรุนแรงทั่วโลก ตั้งแต่ป่าในสหรัฐอเมริกา ป่าอะเมซอนในบราซิล ไปจนถึงป่าในออสเตรเลีย


 
หายนะสำคัญที่มีผลมาจากภาวะโลกร้อนอีกประการหนึ่งคือ ทำให้เกิดพายุหมุนในทะเล ถี่ขึ้น และรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพายุเฮอริเคน ไซโคลน และพายุไต้ฝุ่น ตามภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก เมืองที่อยู่ตามชายฝั่งจะได้รับผลกระทบจากความรุนแรงของพายุบ่อยครั้ง ดังเช่นใน เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2005 พายุเฮอริเคนแคทรีนาได้พัดถล่มเมืองนิวออร์ลีนส์ในประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างย่อยยับ มีผู้เสียชีวิตนับพันคน ขณะเดียวกันภาวะโลกร้อนยังทำให้ เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ตั้งแต่ จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม ไทย พม่า บังกลาเทศ จนถึงอินเดีย
 
การระบาดของเชื้อโรคชนิดต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดโรค  อุบัติใหม่ โรคอุบัติซ้ำ ก็นับเป็นมหันตภัยที่ส่งผลต่อชีวิตมนุษย์อย่างมาก ทั้งนี้เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนจะส่งผลให้แมลง หลายชนิดที่เป็นพาหะสำคัญของเชื้อโรคมีการกระจายพันธุ์ได้ดีขึ้น อาทิ อุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้วงจรชีวิตของยุงมีระยะสั้นลง และยุงยังสามารถอพยพไปอยู่ในที่ที่เคยมีอากาศเย็นได้ ภูเขาหลายแห่งและพื้นที่ที่ไม่เคยมียุงมาก่อนกลับพบว่ามียุงแพร่กระจายเข้าไป ส่งผลให้เกิดการระบาดของโรคมาลาเรียอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันมีอัตราการเกิดโรคไข้เลือดออกเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการระบาดของไข้อหิวาต์ ไข้สมองอักเสบ และการแพร่กระจายของแมลงศัตรูพืชที่เป็นต้นเหตุของการทำลายพืชผลทางการเกษตร  ทั่วโลก
 
ก่อนหน้านี้ อัลกอร์ พยายามจะบอกว่า โลกร้อน เป็นเรื่องของผลกระทบระยะยาว   ไม่ได้เกิดขึ้นฉับพลัน ต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะเห็นผล แต่เมื่อปรากฏผลแล้วก็สายเกินแก้ คงถึงเวลาแล้วกระมังที่เราจะช่วยกันแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนร่วมกัน…ก่อนที่ทุกอย่าง  จะสายเกินไป.
 



จาก                    :                  เดลินิวส์     วันที่ 30 มีนาคม 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #221 เมื่อ: เมษายน 13, 2008, 12:40:45 AM »


ประเทศไทยกับภัยโลกร้อน หยุด! ทำลายสิ่งแวดล้อมก่อนสาย
 
 
 
 ความผันแปรของภูมิอากาศที่มีผลต่อลักษณะอากาศทั่วโลก ท่ามกลางวิกฤติโลกร้อนที่กำลังเผชิญกล่าวขานกัน  ทั่วโลก ที่ผ่านมา ประเทศไทยเอง  ก็มีสัญญาณบ่งบอกถึงผลกระทบ  ดังกล่าวให้ติดตามตระหนักถึงปัญหา ดังกล่าวหลากหลายด้าน
 
จากการติดตามความผันแปรของอุณหภูมิโลกตามที่มีข้อมูลเผยแพร่ให้ความรู้บอกเล่าถึงสถานการณ์โลกร้อนว่า ระยะ 10 กว่าปีที่ผ่านมาเป็นช่วงที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้นซึ่งถ้าหากยังไม่มีมาตรการยับยั้งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกคาดการณ์ ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะเพิ่มขึ้น  อีกและในการเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือน  กระจกจะทำให้บรรยากาศโลกกักเก็บพลังงานความร้อนเพิ่มมากขึ้น


 
ส่งผลให้ความสมดุลของพลังงานโลกเปลี่ยนแปลงไป อุณหภูมิเฉลี่ยของบรรยากาศบริเวณผิวโลกสูงขึ้น คลื่นความร้อนเกิดบ่อยครั้ง ส่งผลต่อเนื่องนานัปการ อย่างเช่น ฤดูกาลแปรปรวน ปริมาณและการกระจายของน้ำฝนเปลี่ยนแปลงไป ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น เนื่องจากน้ำแข็งขั้วโลกละลาย เกิดพายุและภัยพิบัติรุนแรงและถี่ขึ้น ฯลฯ
 
นอกจากนี้ในการศึกษาข้อมูลทางอุตุนิยมวิทยา ของกรมอุตุนิยมวิทยายังพบว่า สภาพอากาศทั่วไปของโลกที่มีการคาดการณ์ไว้อุณหภูมิจะ  สูงขึ้นทำให้มีอากาศร้อนจัด สำหรับประเทศไทยจากปีที่ผ่านมามีการคาดการณ์พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศจะมีปริมาณฝนสูงกว่าค่าปกติ โดยเฉพาะช่วงฤดูร้อนและต้นฤดูฝนและฤดูฝนจะมาเร็วกว่าปกติและช่วงฤดูร้อนจะมีอากาศร้อนจัดในหลายพื้นที่ ฯลฯ ซึ่งจากปัญหาโลกร้อนส่งผลกระทบ   ต่ออนาคตทั้งทำให้ฤดูกาลของฝนเปลี่ยนแปลงไป กระบวนการระเหยและการกลั่นตัวจะเร็วขึ้น ฝนอาจ  จะตกบ่อยแต่น้ำจะระเหยเร็วทำให้  ดินแห้งเร็วกว่าปกติโดยเฉพาะในช่วง  ฤดูกาลเพาะปลูก ฯลฯ


 
ไม่เพียงแต่ภาวะโลกร้อนจะก่อให้เกิดผลกระทบโดยตรงต่ออุณหภูมิ ฝน ช่วงระยะเวลาฤดูกาลเพาะปลูกเท่านั้น ยังก่อให้เกิดผลกระทบทางอ้อม ได้แก่ การระบาดของโรคพืช ศัตรูพืชและวัชพืช สัตว์น้ำจะอพยพไปตามการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิน้ำทะเล แหล่งประมงที่สำคัญ ๆ ของโลกจะเปลี่ยนแปลงไป เชื้อโรคในเขตร้อน ปัญหาภาวะมลพิษทางอากาศภายในเมืองจะเพิ่มขึ้นอีกด้วย
 
การพิทักษ์รักษ์โลก ลดภาวะโลกร้อนด้วยการร่วมใจกันรักษาสมดุลธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมให้คง  อยู่อย่างยั่งยืนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ดร.จิรพล สินธุนาวา คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยา ลัยมหิดลให้ความรู้ว่า ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่ทั่วโลกกำลังเผชิญประการแรกคือ คลื่นความร้อน ซึ่งทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น ถ่ายเทความร้อนไม่ทันอาจทำให้เกิดการช็อกจากความร้อนได้


 
ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนยังทำให้เกิด น้ำทะเลสูงขึ้นทำให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งผลกระทบต่อมาน้ำแข็งบนภูเขาละลายทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่สูง และเมื่อน้ำแข็งขั้วโลกละลายก็เป็นต้นเหตุทำให้ประชากรสัตว์น้ำลดลง ทำลายระบบนิเวศ ต่อมาเกิดการแพร่ระบาดของโรคร้ายซึ่งมากับความร้อน น้ำท่วม ภัยแล้ง ฤดูกาลเปลี่ยนไป อย่างฤดูใบไม้ผลิจะมาเร็วซึ่งนั่นหมายถึงจำนวนวันที่ร้อนจะเพิ่มมากขึ้น แต่จำนวนวันที่หนาวจะสั้นลง น้อยลง เกิดการแปรปรวนของอากาศทำให้ร่างกายปรับไม่ทันเกิดการเจ็บป่วยได้ง่าย
 
นอกจากนี้ในภาวะอากาศที่แปรปรวนยังส่งผลกระทบให้เกิดการอพยพของสัตว์ป่า ปะการังเกิดการฟอกขาว ทำให้ความอุดมสมบูรณ์ ในทะเลเปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ยังเกิดผลกระทบ ฝนตกหนักเฉพาะที่เกิดดินถล่มน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลัน ทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตทรัพย์สิน


 
ผลกระทบประการสุดท้าย ได้แก่ ภัยแล้ง ไฟป่า ทำให้พืชพันธุ์ที่เคยสังเคราะห์แสงดูดซับคาร์บอนได้ตายลง ซึ่งผลกระทบเหล่านี้เกิดขึ้นทั่วโลก เช่นเดียวกับประเทศไทย ซึ่งจะต่างไปในบางข้อที่ประเทศเรา ไม่มี อย่างเรื่องของการปกคลุมของภูเขาน้ำแข็ง
 
“ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนอย่างที่กล่าวมามีหลายเรื่องที่เห็นกันชัดเจนมีทั้งการกัดเซาะชายฝั่งในหลายพื้นที่ ผลิตผลทางการเกษตรได้รับความเสียหาย เนื่องจากอุณหภูมิสูงขึ้นทำให้พืชพันธุ์หลายชนิดได้รับผลกระทบ แต่สิ่ง  ที่จะมีปัญหาซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือในเรื่องของคลื่นความร้อนซึ่ง   จะทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น ซึ่งในต่างประเทศที่ผ่านมามีผู้เสียชีวิตจากภาวะดังกล่าวแล้ว อีกทั้งมีการติด ตามสถานการณ์ เตรียมพร้อมในเรื่องนี้ด้วย”
 
การสะสมความร้อนมักเกิดในเขตเมืองอุตสาหกรรมทำให้อุณหภูมิ สูงขึ้นกว่า 40 องศาเซลเซียส ซึ่งประเทศไทยอย่างในกรุงเทพฯที่ผ่านมาก็แตะเข้าใกล้อุณหภูมิสูงเหล่านี้และ ปีนี้ให้เฝ้าระวัง อุณหภูมิสูงอาจจะเกิดขึ้นได้ในเดือนเมษายนหรือช่วงต่อพฤษภาคม


 
จากสถานการณ์โลกร้อนการจะช่วยกันแก้วิกฤติภาวะโลกร้อนคงจะต้องรู้ก่อนว่าสิ่งเหล่านี้มีผลกระทบกับเรื่องใดบ้าง อย่างเช่น แหล่งน้ำอย่า  ให้มียุงมาวางไข่ ในเรื่องคลื่นความร้อน โรคหน้าร้อนก็ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเอง ต้องระมัดระวัง   การรับประทานอาหาร เลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสม ฯลฯ
 
ภาวะโลกร้อนไม่ใช่เรื่องไกลตัว ทุกคนช่วยกันได้โดยพยายาม ลดการใช้พลังงานและใช้พลังงาน อย่างประหยัด ดังที่ผ่านมามีการ รณรงค์ใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก  ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกินใกล้บ้าน ซื้อใกล้บ้านแทนการขับรถไปไกล ๆ ปลูกพืชผักสวนครัวไว้บริโภคลด  การซื้อการใช้จ่าย ลดการบริโภคที่ สิ้นเปลือง ซึ่งการช่วยกันคงจะต้อง  ระมัดระวังในทุกกิจกรรม เช่น ในช่วงเวลานี้ที่มีการเดินทางใช้รถใช้ถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ควรมีความรู้ความเข้าใจในวิธีการขับรถปลอดภัย รักษาสิ่งแวดล้อมลดภาวะโลกร้อน ซึ่งควรขับรถด้วยความเร็วสม่ำเสมอ ไม่ขับเร็วเกินไปและไม่ขนสัมภาระเยอะเกินความจำเป็น ฯลฯ เพียงเท่านี้นอกจากจะช่วยประหยัด ลดการใช้เชื้อเพลิงแล้ว  ยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมร่วมด้วย
 
จากภาวะโลกร้อนที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้นส่งผลกระทบให้การดำเนินชีวิตเปลี่ยนแปลงไป ในการแก้ไขวิกฤติโลกร้อนคงไม่มีสิ่งใด   ดีไปกว่าการที่ทุกคนร่วมมือร่วมใจ รักษาสิ่งแวดล้อม หยุดทำลายธรรมชาติเพื่อช่วยกันแก้วิกฤติ ลดปัญหาโลกร้อนอย่างยั่งยืน.
 


จาก                    :                  เดลินิวส์     วันที่ 13 เมษายน 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #222 เมื่อ: เมษายน 15, 2008, 12:17:48 AM »


5 วิธีปกป้องโลก  
 

 
 วันนี้ใครไม่เคยได้ยินหรือรับรู้เกี่ยวกับปัญหาโลกร้อนที่เกิดขึ้นทั่วโลก อาจจะถูกหาว่าเชยหรือเป็นคนที่ไม่เคยสนใจไยดีกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เพราะใครต่อใครต่างลุกขึ้นมาหาวิธีการเพื่อปกป้องโลกใบนี้
 
พฤศจิกายน 2006 นาซารับบทเป็นเจ้าภาพต้อนรับคณะนักวิทยา ศาสตร์ระดับสุดยอดของโลก พวกเขาประชุมกันในแคลิฟอร์เนีย เพื่อเสนอทางออกแบบถอนรากถอนโคนสำหรับภาวะโลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นภัยคุกคาม ใหญ่หลวงที่สุดเท่าที่มนุษยชาติเคยเผชิญ
 
วิธีแรกในห้าวิธีที่จะช่วยโลกคือวิธีที่แพงและท้าทายที่สุด เป้าหมายของมันก็คือการลดปริมาณแสงแดดที่ส่องมายังโลก โรเจอร์ แองเจล นักดาราศาสตร์ หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญชั้นนำของโลกด้านเลนส์แก้ว คิดว่าเขาสามารถทำแบบนั้นได้
 
โรเจอร์ คำนวณว่า เขาน่าจะต้องหักเหรังสีของดวงอาทิตย์เพียงสองเปอร์เซ็นต์เท่านั้น เพื่อจะลดภาวะโลกร้อน ทว่าแม้กระทั่งปริมาณแค่นั้นมันก็จะต้องอาศัยอุปกรณ์บังแดดที่กว้างอย่างไม่น่าเชื่อถึง 100,000 กิโลเมตร มันจะถูกวางไว้ห่างจากโลกหนึ่งล้านหกแสนกิโลเมตร และโคจรรอบดวงอาทิตย์ตรงตำแหน่งซึ่งรู้จักกันในนามจุด L1 คือจุดที่แรงโน้มถ่วงระหว่างดวงอาทิตย์กับโลกเป็นศูนย์
 
แต่ความท้าทายในเรื่องนี้ คือ การทำให้อุปกรณ์บังแดดนี้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ และการส่งอุปกรณ์ทั้งหมดที่หนักกว่า 20 ล้านตัน และสิ่งที่พวกเขาคิดได้ก็คือ เรียลลอนเชอร์ ชุดขดลวดไฟฟ้าภายในอุโมงค์ยาว 2 กิโลเมตร ขณะที่จรวดพุ่งผ่านขดลวดแต่ละอัน มันจะได้รับแรงสั่นสะเทือนไฟฟ้าซึ่งทำให้เร่งความเร็วได้มากขึ้น และเพื่อการเดินทางสู่อวกาศมันจะต้องตั้งอยู่บนยอดเขาที่อากาศเบาบางที่สุด ขณะที่แรงต้านทานของชั้นบรรยากาศโลกมีน้อยลง โดยยานส่งแก้วแต่ละลำจะมีระบบจัดวางตำแหน่งและแผงโซลาร์นำทาง
 
เวลาเดียวกันนั้นทีมที่สองก็คิดค้นวิธีการที่ดูเหมือนจะง่ายกว่า อย่างการเลียนแบบสภาพบรรยากาศของเมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งหมอก ซึ่งทำหน้าที่เหมือนระบบปรับอากาศตามธรรมชาติ


 
สตีเวน ซอลเตอร์ วิศวกร และ จอห์น ลาแธม นักฟิสิกส์ด้านบรรยากาศ กำลังออกค้นหาเมฆที่มีลักษณะเฉพาะที่เป็นประกายและสะท้อนรังสีของดวงอาทิตย์กลับไปสู่อวกาศ ทั้งสองคิดว่าจะใช้เรือยอชท์พลังลม เพื่อพ่นละอองน้ำทะเลเข้าไปในเมฆเหมือนกับปืนสเปรย์ขนาดยักษ์
 
ละอองน้ำหยดเล็ก ๆ เหล่านี้จะระเหยไปเหลือแต่อนุภาคเกลือที่แวววาว มันจะขึ้นไปสู่เมฆและจะดูดไอน้ำในนั้นซึ่งจะมาควบแน่นอยู่ที่อนุภาคเกลือทำให้เมฆหนาขึ้นและสะท้อนแสงมากขึ้น
 
อีกแผนที่อยู่บนโต๊ะประชุมลับของนาซาก็คือ แผนซึ่งเกิดจากความหายนะทางธรรมชาติ โดยศึกษาจากเมื่อครั้งที่ภูเขาไฟโทบา บนเกาะสุมาตราระเบิดเมื่อ 71,000 ปีที่แล้ว ละอองเถ้าถ่านภูเขาไฟและกำมะถันที่ถูกพ่นขึ้นไปสูง 34 กิโลเมตร สู่บรรยากาศชั้นสตรา   โตสเฟียร์บดบังแสงอาทิตย์จนโลกเข้าสู่ฤดูหนาวยาวถึง 6 ปี ก่อนจะตามมาด้วยยุคน้ำแข็งนานหนึ่งพันปี
 
วิธีการที่ พอล ครุทเซน เจ้าของรางวัลโนเบลที่มาของรูรั่วโอโซนที่ทวีปแอนตาร์กติกจนทำให้เกิดการรณรงค์เพื่อลดการใช้สารซีเอฟซีตามมาคิดขึ้นก็คือ การยิงจรวดบรรทุกกำมะถันนับร้อย ๆ ลูกขึ้นไปสู่ชั้นบรรยากาศที่ว่า โดยมีตัวอย่างที่เพิ่งผ่านไปอย่างการระเบิดของภูเขาไฟปีนาตูโบเมื่อปี 1991 จนทำให้อุณหภูมิโลกลดลง 0.6 องศาเซลเซียส
 
แต่การนำกำมะถันจำนวนมหาศาลขึ้นไปยังชั้นบรรยากาศนั้นก็ยังเป็นเรื่องเสี่ยงกับผลกระทบที่จะตามมา การพยายามลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศจึงเป็นอีกวิธีที่ เอียน โจนส์ วิศวกรด้านมหาสมุทรจากมหาวิทยาลัยซิดนีย์คิดขึ้น โดยมีแพลงก์ตอนพืชจำนวนมากในมหาสมุทรที่สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้เป็นตัน ๆ


 
แพลงก์ตอนพืชที่เบ่งบานในอ่าวซิดนีย์หลังจากน้ำท่วมได้พัดพาธาตุอาหารลงทะเล สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 80,000 ตัน หรือเท่ากับปริมาณที่รถ 20,000 คันปล่อยออกมาในแต่ละปี ขณะที่นักวิจัยพบว่าหลังจากแพลงก์ตอนดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป มันจะปล่อยก๊าซออกซิเจนออกมา ส่วนคาร์บอนยังอยู่ในตัวพวกมันและจะจมลงสู่ก้นมหาสมุทรเมื่อพวกมันตาย ทว่าการมีแพลงก์ตอนพืชมากไปก็ส่งผลต่อระบบนิเวศในทะเลด้วยเช่นกัน
 
วิธีการสุดท้ายก็คือ การเลียนแบบนักดักจับคาร์บอนที่เก่งที่สุดในโลกอย่างต้นไม้ เคลาส์ แล็คเนอร์ นักธรณีฟิสิกส์ พัฒนาขึ้นมาจากโครงงานวิทยาศาสตร์ของลูกสาว โดยมีโซเดียมไฮดรอกไซด์เป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ เพราะมันสัมผัสกับคาร์บอนไดออกไซด์มันจะดูดซับและก่อให้เกิดสารละลายโซเดียมคาร์บอเนตในสภาพของเหลว จากนั้นมันจะถูกส่งไปตามท่อเพื่อผ่านกระบวนการเปลี่ยนเป็นก๊าซเข้มข้นและจัดเก็บขั้นสุดท้าย
 
วิสัยทัศน์ของเคลาส์ก็คือ การสร้างต้นไม้สังเคราะห์นับพัน ๆ ต้นเหมือนฟาร์มกังหันลม เพื่อกรองคาร์บอนไดออกไซด์ของโลกออกไป เขาประมาณว่าต้นไม้สังเคราะห์แบบนี้หนึ่งต้นจะขจัดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ปีละ 90,000 ตัน ซึ่งเท่ากับปริมาณที่รถกว่า 20,000 คันปล่อยออกมา
 
แต่ก่อนที่จะต้องใช้วิธีการทั้ง 5 ที่นักวิทยาศาสตร์คิดค้น การช่วยกันลดภาวะโลกร้อนด้วยวิธีการง่าย ๆ น่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสมและไม่สิ้นเปลืองสำหรับวันนี้ ติดตามวิธีการเหล่านี้ได้ในสารคดี Five Ways To Save The World ทางช่องดิสคัฟเวอรี่ แชนแนล วันพุธที่ 16 เม.ย. 2551 เวลา 21.00 น. ทางช่องทรูวิชั่นส์ 47.
 



จาก                    :                  เดลินิวส์     วันที่ 15 เมษายน 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #223 เมื่อ: เมษายน 17, 2008, 12:43:52 AM »


นักวิทยาศาสตร์เตือนโลกร้อน ทำระดับน้ำทะเลสูงขึ้นกว่า 1 เมตร    
 
 
 นักวิทยาศาสตร์เตือนสภาวะโลกร้อนจะทำให้ระดับน้ำทะเลหลังสิ้นศตวรรษนี้ เพิ่มสูงขึ้นอีกกว่า 1 เมตร อาจจะทำให้น้ำท่วม ประชาชนหลายสิบล้านคนไม่มีที่อยู่อาศัย

 ลอนดอน-นักวิทยาศาสตร์ในอังกฤษเปิดเผยรายงานฉบับหนึ่งที่ระบุว่า เมื่อสิ้นศตวรรษนี้ไปแล้ว ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้นอีกกว่าหนึ่งเมตร อันเนื่องจากสภาวะโลกร้อน ทำให้แผ่นน้ำแข็งที่ขั้วโลกละลาย

 ผลงานวิจัยชิ้นใหม่ที่จัดทำโดยคณะนักวิทยาศาสตร์จากห้องปฏิบัติการวิจัยสมุทรศาสตร์ในอังกฤษระบุว่า การละลายของธารน้ำแข็ง กับการแตกหักของแผ่นน้ำแข็งที่ขั้วโลก รวมทั้งภาวะโลกร้อนที่กำลังเผชิญกันอยู่ อาจทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นอีก 1.5 เมตร ในช่วงสิ้นศตวรรษนี้ ซึ่งปรากฎการณ์ดังกล่าว จะทำให้น้ำไหลบ่าเข้าท่วมแผ่นดิน เป็นเหตุให้ประชาชนหลายสิบล้านคนไม่มีที่อยู่อาศัย

 รายงานผลการวิจัยชิ้นนี้ที่ถูกนำเสนอในที่ประชุมยูโรเปี้ยน จีโอไซน์ ยูเนี่ยนนั้น นักวิจัยทำนายว่า ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศหรือไอพีซีซี ทำนายเอาไว้เมื่อปีที่แล้วถึงสามเท่า ซึ่งไอพีซีซี เพิ่งคว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพร่วมกับนายอัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อปี 2550

 หนึ่งในทีมวิจัยระบุว่า ผลการทำนายมาจากการประเมินแบบจำลองใหม่ ที่มีความแม่นยำเกี่ยวกับความเป็นไปของระดับน้ำทะเลในช่วง 2,000 ปีที่ผ่านมา โดยในศตวรรษที่ 18 ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น 2 เซนติเมตร และสูงขึ้นอีก 6 เซนติเมตรในศตวรรษที่ 19 จนกระทั่งศตวรรษที่แล้ว ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นอีก 19 เซนติเมตร ซึ่งดูเหมือนว่า ระดับน้ำทะเลพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในศตวรรษที่ 20 อันเนื่องจากการละลายของแผ่นน้ำแข็ง

 ด้าน นายสตีฟ เนเร็ม นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยโคโลราโด้ในสหรัฐกล่าวสนับสนุนรายงานชิ้นล่าสุดว่า มีหลักฐานมากมายที่บ่งชี้ว่า ในปีพุทธศักราช 2643 หรือปีคริสตศักราช 2100 หรือในอีก 92 ปีข้างหน้า ชาวโลกจะได้เห็นระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นไม่ต่ำกว่า 1 เมตร ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น ประชาชนชาวจีนจำนวน 72 ล้านคน และประชากรเวียดนามถึงร้อยละ 10 จะกลายเป็นคนไร้ที่อยู่อาศัย 




จาก                    :                  แนวหน้า     วันที่ 17 เมษายน 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #224 เมื่อ: พฤษภาคม 04, 2008, 02:03:01 AM »


วิกฤติโลกร้อน วิกฤตมนุษยชาติ (ตอนที่ 6)  
 
 
 
 ขึ้นแท่นปล่อยก๊าซพิษอันดับหนึ่ง จีนเผยยุทธศาสตร์หยุดโลกร้อน

แรงแซงหน้าสหรัฐอเมริกาพร้อมรับฉายาประเทศที่ปล่อยก๊าซพิษสู่บรรยากาศมากที่สุดในโลกไปแล้วเรียบร้อย สำหรับมหาอำนาจแห่งเอเชีย...พญามังกรจีน
 
แม้ก่อนหน้านี้ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมทั้งหลายต่างคาดการณ์ไว้ว่า กว่าจีนจะแซงหน้าสหรัฐอเมริกาในเรื่องของการปล่อยก๊าซพิษคงต้องใช้เวลาอีกหลายปี แต่จากการสำรวจสถิติขณะนี้ จีนได้กลายเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าสหรัฐอเมริกาไปแล้ว 8% ขณะที่อัตราการปล่อยก๊าซพิษของสหรัฐลดลง 1.4%  เมื่อปีที่แล้ว อันเนื่องมาจากสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว
 
สำนักงานประเมินสภาพแวดล้อมเนเธอร์แลนด์ เปิดเผยว่า สาเหตุที่จีนแซงหน้าสหรัฐขึ้นเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุด เร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดไว้ เป็นเพราะผลจากความต้องการถ่านหินเพื่อใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าและการผลิตปูนซีเมนต์ที่พุ่งขึ้น บวกกับการขยายตัวของเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นถึง 10 เท่านับตั้งแต่ปี 2521 ซึ่งได้ส่งผลให้จีนต้องเผชิญกับปัญหาท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม มากมาย ทั้งในเรื่องน้ำ อันได้แก่ ปัญหาขาดแคลนน้ำสะอาดและปัญหาน้ำเสีย รวมถึงปัญหาการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ทะเลทราย ซึ่งเป็นผลมาจากการย้ายถิ่นฐาน ทำให้พื้นที่  สีเขียวเสียหายปีละไม่ต่ำกว่า 5,500 ตารางไมล์ 


 
จากสถิติตัวเลขปี 2549 รัฐบาลจีนได้รับเอกสารร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหามลพิษเป็นจำนวนมากถึง 600,000 ฉบับ เพิ่มขึ้นปีละ 30% มาตั้งแต่ปี 2545 โดยทางการจีนเองก็ยอมรับว่า ปัญหามลพิษที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน กำลังส่งผลกระทบต่อประเทศจีน เห็นได้จากผลผลิตทางการเกษตรที่ตกต่ำลง อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรง ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น รวมถึงเมืองแถบชายฝั่งทะเลที่ถูกทำลาย และนี่เอง คือ สาเหตุสำคัญที่ทางการจีนเร่งจัดทำแผนลดภาวะโลกร้อน วางแนวทางลดมลพิษจากก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และการพัฒนาเทคโนโลยีที่ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้
 
อย่างไรก็ตาม แม้จีนจะหันมาออกมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศ โดยเปิดตัว โครงการยุทธศาสตร์แห่งชาติเพื่อลดภาวะโลกร้อน โดยยืนยันจะเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานราว 20% ภายในปี 2553 และจะใช้พลังงานที่นำกลับมาใช้ได้ใหม่   จาก 7% ในปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 10% รวมถึงการลดการใช้พลังงานต่อหน่วยผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปีละ 4% และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ ปีละ 2% ภายในปี 2553 พร้อมสนับสนุนการผลิตพลังงานสะอาด พัฒนาพรรณพืชใหม่ ๆ ที่ทนแล้งได้ดี ตลอดจนขยายพื้นที่ป่าเพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ถึงกระนั้นหลายฝ่ายก็ยังคงมองว่า เป็นเรื่องของแผนระยะยาวที่ต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป
 
ทางการจีนได้ลงนามในสนธิสัญญาเกียวโตเกี่ยวกับการให้ความร่วมมือในการต้านโลกร้อนไปแล้ว  แต่ทำในฐานะประเทศกำลังพัฒนาจึงไม่ต้องกำหนดอัตราการลดก๊าซก่อภาวะโลกร้อนที่ตายตัว โดยถึงแม้จีนจะประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนในการยินดีให้ความร่วมมือกับทุกชาติเพื่อลดปัญหาโลกร้อน แต่ขณะเดียวกันก็พยายามเน้นย้ำให้ประเทศต่าง ๆ เข้าใจถึงศักยภาพที่มีอยู่อย่างจำกัดของจีนในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอันเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน ทั้งนี้เนื่องจาก จีนยังเป็นชาติกำลังพัฒนา ภารกิจแรกที่ต้องฟันฝ่าก็คือ การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ รวมถึงการแก้ไขปัญหาความยากจนของคนในประเทศ
 
ถึงตรงนี้ คิดไปคิดมาด้วยเหตุผล บางคนอาจแอบชื่นชมจีนที่แม้จะเป็นประเทศที่สร้างมลพิษให้กับโลกมากเป็นลำดับต้น แต่ก็ยังรู้จักหันมาคิดทบทวนเสนอวิธีแก้ไขปัญหา ขณะที่อีกฝ่ายอาจมองว่า คงเป็นไปได้ยากเพราะจีนเองก็ยังประกาศกร้าวว่า การพัฒนาประเทศต้องมาก่อน
 
แล้วอย่างนี้ผลจะปรากฏออกมาเช่นไร จะเข้าทำนอง...กว่าจะพัฒนาประเทศไปถึงเป้าหมาย ประชาชนไม่แย่เสียก่อนหรือ...คงต้องดูกันต่อไป.



ผลกระทบโลกร้อนกับความรุ่งเรืองของเอเชีย

ท่ามกลางความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ อันเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน ได้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบอย่างชัดเจนต่อประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชีย โดยทุกประเทศจะมีระดับอุณหภูมิที่สูงขึ้น มีฝนตกน้อยลงและไม่แน่นอน  ขณะเดียวกันกลับมีพายุที่รุนแรงมากขึ้นและบ่อยขึ้นในเขตพื้นที่เกษตรกรรม เป็นผลให้เกษตรกรที่ต้องพึ่งพาฝนฟ้าตามฤดูกาลได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศบังกลาเทศ ซึ่งมีประชากรประกอบอาชีพเกษตรกรรมถึง 70% ขณะที่ในอินเดียบางแห่งเกิดภาวะน้ำท่วมสูง และบางแห่งประสบกับความแห้งแล้ง
 
ด้วยอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น 1 องศาเซลเซียสในช่วงเวลากลางคืนของฤดูเพาะปลูกได้ส่งผลให้ผลผลิตข้าวของภูมิภาคเอเชียลดลง 10% ส่วนบริเวณตอนเหนือของจีนที่ต้องผจญกับภาวะแห้งแล้งอย่างต่อเนื่อง หากยังไม่มีการแก้ปัญหาก็จะทำให้ปลายศตวรรษนี้ประเทศจีนจะสูญเสียผลผลิตหลักไป 37% โดยผลผลิตเหล่านั้นจะรวมถึงข้าว ข้าวสาลี และข้าวโพดด้วย
 
รายงานฉบับล่าสุดที่มีชื่อว่า “Up in Smoke : Asia and the Pacific” ซึ่งจัดทำโดยคณะทำงานด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและการพัฒนาหลายองค์กรทั่วโลก ได้กล่าวถึงผลกระทบของภาวะโลกร้อนที่มีต่อภูมิภาคเอเชียว่า ถือเป็นการบั่นทอนต่อความเจริญก้าวหน้าทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยิ่ง โดยปัญหาใหญ่ขณะนี้อยู่ที่การรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้น ผู้คนเอเชียต้องรับรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรกับปัญหา ซึ่งไม่เพียงแต่จะต้องแก้ไขไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาประเทศเท่านั้น ในด้านชีวิตความเป็นอยู่ที่คนเอเชียส่วนใหญ่ยังคงต้องพึ่งพาผืนดินและผืนน้ำในการดำรงชีวิตก็ต้องปรับตัวหรือคิดให้ได้ว่าจะอยู่อย่างไรท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายขึ้นเช่นนี้ ซึ่งแน่นอนว่ามีผลกระทบต่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศไม่ทางตรงก็ทางอ้อม.

 


จาก                    :                  เดลินิวส์     วันที่ 4 พฤษภาคม 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: 1 ... 13 14 [15] 16 17 18   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.043 วินาที กับ 20 คำสั่ง