|
|
|
kungkings
|
 |
« ตอบ #211 เมื่อ: มีนาคม 13, 2008, 01:51:55 AM » |
|
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ทำวันนี้ และวันหน้าให้ดีที่สุด...
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #212 เมื่อ: มีนาคม 17, 2008, 12:38:56 AM » |
|
โลกร้อนไล่คน
ภายในปี 2563 โลกจะร้อนจนคนหลายล้านคนอพยพหนีภัยธรรมชาติจากภูมิภาคอื่นเข้าไปหาความอุดมสมบูรณ์ในยุโรปซึ่งสหภาพยุโรป (อียู) จะต้องเตรียมรับมือไว้แต่เนิ่นๆ
การขาดเคลนน้ำและอาหาร รวมทั้งน้ำท่วมเป็นแรงผลักดันให้คนจากแอฟริกา ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ เอเชียกลาง ละตินอเมริกาและคาริบเบียนหลั่งไหลเข้ายุโรป
ภัยธรรมชาติส่อเค้ารุนแรงมากขึ้นทุกขณะ ในทวีปแอฟริกาเหนือและแอฟริกาตอนใต้ประสบกับความแห้งแล้งและปริมาณฝนลดลง ประกอบกับอุณหภูมิสูงขึ้นทำให้สูญเสียพื้นที่เพาะปลูกไปถึงร้อยละ 75
ระดับน้ำทะเลจะหนุนขึ้นสูงบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ทำให้ดินในพื้นที่ทำการเกษตรเค็มส่งผลให้เสียพื้นที่ที่เหมาะแก่การเพาะปลูกร้อยละ 12-15 ซึ่งจะกระทบต่อชีวิตประชากรถึง 5 ล้านคนภายใน 12 ปีข้างหน้านี้
ส่วนตะวันออกกลางและเอเชียใต้กำลังเผชิญหน้ากับปริมาณน้ำสำหรับการเกษตรลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่ออียูแล้วในขณะนี้ เพราะทั้ง 2 ภูมิภาคทำการค้าขายและเชื่อมโยงด้านการเงินกับอียู
ขณะที่เอเชียกลาง ละตินอเมริกาและคาริบเบียนก็ประสบภัยขาดแคลนน้ำและผลิตผลการเกษตรลดลง อาหารการกินก็น้อยลงไปด้วย
เมื่อคนย้ายถิ่นไปอยู่ในยุโรปมากขึ้นทำให้มีความต้องการน้ำมากขึ้นจนอาจนำมาสู่การขาดแคลนน้ำและอาหาร ในที่สุดผู้ที่หนีความหิวโหยกลับต้องทนทุกข์ต่อไปในถิ่นใหม่และยังทำให้เจ้าถิ่นพลอยเดือดร้อนไปด้วย กลายเป็นปัญหางูกินหางที่ไม่รู้จบ
คาดการณ์อีกว่าปัญหาความตึงเครียดระหว่างคนต่างเชื้อชาติและศาสนาจะรุนแรงขึ้นด้วย
ความรุนแรงของปัญหามากมายแค่ไหนนั้น อังกฤษคาดว่าต่อไปการแข่งขันแย่งชิงอาหาร น้ำและผืนดินจะเป็นตัวนำมาสู่ความขัดแย้งและสงครามเลยทีเดียว
จาก : ข่าวสด คอลัมน์รุ้งตัดแวง โดย สปาย-กลาส วันที่ 17 มีนาคม 2551
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #213 เมื่อ: มีนาคม 17, 2008, 12:54:34 AM » |
|
ยูเอ็นเตือนโลกป้องธารน้ำแข็งละลาย

สวิตเซอร์แลนด์ - ยูเอ็นเตือนนานาชาติร่วมกันป้องภัยธารน้ำแข็งละลายตัวอย่าง มหาศาล หลังเจอวิกฤติโลกร้อน ด้านอัล กอร์ จี้อินเดียร่วมแก้ปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยน
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเอ็นอีพี เปิดเผยรายงานว่าด้วยสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงหรือภาวะโลกร้อน ระบุว่า บรรดาธารน้ำแข็งหลายแห่งบนโลกมนุษย์กำลังอยู่ในสภาวะน่าเป็นห่วง เนื่องจาก กำลังประสบกับการละลายครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน ภายหลังจากกลุ่มเฝ้า ระวังธารน้ำแข็งหรือดับเบิลยูจีเอ็มเอส ที่มีสำนักงานอยู่ในมหาวิทยาลัยซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทำการศึกษาธารน้ำแข็งกว่า 30 แห่งทั่วโลก โดยนายอาชิม สไตเนอร์ ผู้อำนวยการของยูเอ็นอีพี กล่าวว่า จากเหตุธารน้ำแข็งละลายดังกล่าว ก็จะส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วโลกนับพันล้านคน ทั้งทางตรงและทางอ้อม
พร้อมกันนี้ ยังได้เรียกร้องให้นานาชาติร่วมปฏิบัติการทันทีเพื่อป้องกันการเกิดผลกระทบข้างต้น นอกจากนี้ ยังอ้างรายงานของดับเบิลยูจีเอ็มเอส โดยระบุว่า ขนาดธารน้ำแข็งทั่วโลกในปี 2549 มีขนาดเล็กลงเฉลี่ยแล้วมีประมาณมากถึง 1.4 เมตร ซึ่งมากกว่าในการศึกษาเมื่อช่วงปี 2548 ที่มีขนาดเฉลี่ยประมาณ 50 เซนติเมตรเท่านั้น
ขณะเดียวกัน ทางด้านนายอัล กอร์ เจ้าของรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ปีล่าสุด ออกมาเรียกร้องให้อินเดียเป็นแกนนำในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน ในฐานะที่ประเทศ แห่งนี้เจริญรุดหน้าในหลายๆ ด้าน รวมทั้งเทคโนโลยี และพลังงาน
จาก : สยามรัฐ วันที่ 17 มีนาคม 2551
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #214 เมื่อ: มีนาคม 18, 2008, 12:31:37 AM » |
|
ธารน้ำแข็งละลายเร็วขึ้น
สหประชาชาติออกรายงานระบุว่า ธารน้ำแข็งเกือบ 30 สายทั่วโลกได้ละลายจนถึงขีดต่ำสุดเมื่อปี 2549
โครงการสิ่งแวดล้อมของยูเอ็น หรือยูเนป บอกว่า ภาวะน้ำแข็งละลายจะส่งผลกระทบมากมาย โดยเฉพาะในอินเดีย ซึ่งแม่น้ำหลายสายต้องอาศัยน้ำจากธารน้ำแข็งในแถบเทือกเขาหิมาลัย
ชายฝั่งตะวันตกของอเมริกาเหนือ ซึ่งรับน้ำจากธารน้ำแข็งสายต่างๆ ในเขตเทือกเขาร็อกกี และเทือกเขาเซียร์ราเนวาดาก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน
อาชิม สไตเนอร์ ผอ.ยูเนป บอกว่า ภาวะน้ำแข็งละลายเร็วในอัตราที่น่าตกใจเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อผู้คนนับพันล้าน เพราะธารน้ำแข็งเป็นแหล่งกักเก็บน้ำตามธรรมชาติ ในแต่ละปีต้องมีการใช้น้ำเหล่านี้สำหรับดื่ม ทำการเกษตร ปั่นกระแสไฟฟ้า และหล่อเลี้ยงโรงงานอุตสาหกรรมเกือบตลอดเวลา
ศูนย์เฝ้าติดตามธารน้ำแข็งโลก หรือ World Glacier Monitoring Service ของมหาวิทยาลัยซูริก ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากยูเนป บอกว่า ตัวการที่ทำให้ธารน้ำแข็งละลายเร็วก็คือภาวะโลกร้อน
ศูนย์ดังกล่าวได้ศึกษาธารน้ำแข็งเกือบ 30 สายในเทือกเขา 9 แห่ง พบว่า ระหว่างปี 2547-2548 และปี 2548-2549 นั้น อัตราการละลายได้เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัว
"แนวโน้มนี้กำลังเกิดขึ้นในอัตราเร่ง ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะยุติ" วิลฟรีด เฮเบอร์ลี ผอ.ศูนย์ฯ กล่าว
แม้ว่าเดี๋ยวนี้จะเริ่มมีการปรับทิศทางการพัฒนาประเทศให้คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่คำว่า "เศรษฐกิจสีเขียว" ในทิศทางใหม่นี้ก็ยังไม่ค่อยเป็นจริงเท่าไรนัก
สไตเนอร์บอกว่า การประชุมเกี่ยวกับภูมิอากาศโลกในปี 2552 ที่กรุงโคเปนเฮเกน จะเป็นบททดสอบว่า รัฐบาลต่างๆ จะเอาจริงกันแค่ไหนกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนที่เกิดจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
เขาบอกว่า ถ้าประเทศต่างๆ ไม่เอาจริง โอกาสที่จะแก้ไขภาวะโลกร้อนก็จะละลายหายสูญไปเช่นเดียวกับธารน้ำแข็ง
ผลการตรวจวัดพบว่า ธารน้ำแข็งได้บางลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งสามารถแสดงปริมาณได้โดยเทียบกับน้ำ
เมื่อปี 2549 น้ำแข็งได้ลดระดับลงไป 1.4 เมตร ขณะที่เมื่อปี 2548 นั้นลดลงไปแค่ครึ่งเมตร
ธารน้ำแข็งบางสายได้บางลงอย่างมาก เช่น ธารน้ำแข็งเบรดาลบลิคเบรีย ซึ่งบางลงเกือบ 3.1 เมตรในปี 2549 เทียบกับ 0.3 เมตรเมื่อปี 2548
ธารน้ำแข็งอีกหลายสายในยุโรปก็บางลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ไม่ว่าในออสเตรีย ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน สวีเดน หรือเนเธอร์แลนด์
มีแค่ 4% ในจำนวนธารน้ำแข็ง 30 สายที่มีความหนายิ่งขึ้น.
จาก : X-cite ไทยโพสต์ คอลัมน์โลกน่ารู้ วันที่ 17 มีนาคม 2551
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #215 เมื่อ: มีนาคม 18, 2008, 12:37:12 AM » |
|
เตือนธารน้ำแข็งวิกฤติ เร่งคุมก๊าซเรือนกระจก
ผลการศึกษายูเอ็น ระบุ ธารน้ำแข็งทั่วโลกกำลังละลายเร็วอย่างน่าวิตก พร้อมเรียกร้องนานาชาติหามาตรการยับยั้งการละลายโดยด่วน
ซูริค-ผลการศึกษาโดยสำนักงานติดตามธารน้ำแข็งโลก (WGMS) ซึ่งสนับสนุนโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ระบุว่า จากการสำรวจธารน้ำแข็งกว่า 30 แห่งระหว่างปี 2547-48 และ2548-46 พบว่า อัตราการละลายของธารน้ำแข็งโดยเฉลี่ยสูงขึ้นมากกว่า 2 เท่าจากสถิติประวัติการณ์ในรอบหลายสิบปีเมื่อปี 2541
ผลสำรวจระบุว่า การละลายของธารน้ำแข็งหลายแห่งเริ่มน่าวิตก โดยเฉพาะธารน้ำแข็งที่นอร์เวย์ซึ่งละลายไปถึง 3.1 เมตรในปี 2549 เทียบกับที่วัดได้ 0.3 เมตรเมื่อปี 2548 ขณะเดียวกันก็พบธารน้ำแข็งในทวีปยุโรปหลายประเทศที่เริ่มละลายเร็วอย่างเห็นได้ชัด ทั้งในออสเตรีย ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน สวีเดน และสวิตเซอร์แลนด์ อย่างไรก็ดี พบด้วยว่าธารน้ำแข็งร้อยละ 4 ก่อตัวหนาขึ้น
อีกด้านหนึ่ง นายอาชิม สไตเนอร์ ผู้อำนวยการยูเอ็นอีพีระบุว่า ธารน้ำแข็งเป็นแหล่งกักเก็บน้ำตามธรรมชาติที่มีความสำคัญต่อประชาชนหลายล้านคนทั่วโลก จึงเรียกร้องให้นานาประเทศหามาตรการลดกาซเรือนกระจกจากเชื้อเพลิงปิโตรเลียม ซึ่งกำลังส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศโดยด่วนก่อนจะสายเกินไป
จาก : แนวหน้า วันที่ 18 มีนาคม 2551
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #216 เมื่อ: มีนาคม 20, 2008, 12:16:21 AM » |
|
ยูเอ็นเปิดข้อมูลธารน้ำแข็งหดเพิ่มขึ้น 5 เท่าในเวลาไม่ถึงสิบปี
 จากการศึกษาของยูเอ็นพบว่าธารน้ำแข็งในเทือกเขาหลายแห่งได้หดลงไปมาก บีบีซีนิวส์-ยูเอ็นอีพีเผยข้อมูลธารน้ำแข็งหดตัวก้าวกระโดดจากปีละ 30 เซนติเมตร ขึ้นเป็นปีละ 1.5 เมตรในเวลาไม่ถึง 10 ปี โครงการสิ่งแวดล้อมของสหประชาชาติ (ยูเอ็นอีพี) เผยข้อมูลธารนำแข็งทั่วโลกหดตัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้น จากช่วงปี 2523-2542 ที่ธารน้ำแข็งหดตัวเฉลี่ยปีละ 30 เซนติเมตรเป็น 1.5 เมตรในปี 2549 โดยเฉพาะเทือกเขาแอลป์ส (Alps) และเทือกเขาไพรีนีส (Pyrenees) ในยุโรปที่พบการหายไปของน้ำแข็งจำนวนมาก ทั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ธารน้ำแข็งในเทือกเขา 9 แห่ง ผู้เชี่ยวชาญหลายคนได้เรียกร้องให้มี "ปฏิบัติการโดยฉับพลัน" เพื่อพลิกแนวโน้มการหดอย่างรวดเร้วของธารน้ำแข็งที่เกิดขึ้นนี้ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (climate change) ทั้งนี้ประมาณกันว่าในปี 2549 มีปริมาณน้ำแข็งหดตัวไป 1.4 เมตร ขณะที่ในปี 2548 หดไป 0.5 เมตร อชิม สไตเนอร์ (Achim Steiner) ผู้อำนวยการใหญ่โครงการสิ่งแวดล้อมสหประชาชาติ กล่าวว่าผู้คนหลายล้านหรือไม่ก็หลายพันล้านขึ้นตรงต่อทรัพยากรน้ำที่กักเก็บไว้ในธรรมชาตินี้เพื่อดื่ม การเกษตร อุตสาหกรรมและการผลิตกระแสไฟฟ้าในช่วงสำคัญของปี โดยธารน้ำแข็งได้ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอันเนื่องจากการเผาไหม้ถ่านหินและเราก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ พร้อมเผยว่าได้ดำเนินการเบื้องต้นที่จะพัฒนา "ธุรกิจเขียว" โดยการลงทุนด้านพลังงานทดแทนมากขึ้น ดร.วิลฟรีด ฮาเบอร์ลี (Dr.Wilfried Haeberli) ผู้อำนวยการหน่วยติดตามธารน้ำแข็งโลก (World Glacier Monitoring Service) ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยยูเอ็นดีพี กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดและการสูญเสียน้ำแข็งก็ยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งในช่วง 25 ปีที่ผ่านมานี้ โดยตั้งแต่ปี 2523 สูญธารน้ำแข็งไปแล้ว 10.5 เมตร โดยค่าเฉลี่ยธารน้ำแข็งที่หดไป 1 เมตรเทียบเท่ากับความหนาของน้ำแข็ง 1.1 เมตร นั่นหมายความว่ากว่า 20 ปีที่ผ่านมาความหนาของน้ำแข็งลดไปแล้ว 11.5 เมตร ทั้งนี้ทีมวิจัยได้ศึกษาธารน้ำแข็งทำหมด 100 แห่งในประเทศแถบยุโรป ได้แก่ ออสเตรีย นอร์เวย์ สวีเดน อิตาลี สเปนและสวิตเซอร์แลนด์ โดยในช่วงแข็งมากที่สุดแห่งหนึ่ง.
จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 20 มีนาคม 2551
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #217 เมื่อ: มีนาคม 26, 2008, 12:26:45 AM » |
|
"โลกร้อน"...เพราะเราเป็นเพียงกาฝากเกาะกินโลก ?

ในแต่ละปี มีการมอบเงินอุดหนุนถึง 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมประมง...ท้องทะเล กำลังจะว่างเปล่า ถุงพลาสติก 1 ใบ ใช้เวลาผลิตแค่ 1 วินาที นำมาใช้งานเพียง 20 นาที แต่ต้องใช้เวลาถึง 100-400 ปี ในการย่อยสลายไปตามธรรมชาติ...ในแต่ละปี คนทั่วโลกใช้ถุงพลาสติก 500,000 ถึง 1,000,000 ล้านใบ ปริมาณน้ำกำลังจะกลายเป็นประเด็นหลักในระดับโลก เมื่อผู้คน 1,000 ถึง 2,000 ล้านชีวิต ต้องดิ้นรนหาน้ำวันละ 20-50 ลิตรมาไว้ดื่มกิน หุงหาอาหาร และทำความสะอาด ภายในปี 2015 คาดกันว่าความต้องการน้ำมันของโลกจะเพิ่มขึ้น จนแตะระดับ 99 ล้านบาร์เรลต่อวัน ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงราคาถูก หาง่าย และสกปรกที่สุด ในแต่ละปี เรานำเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดนี้มาใช้มากกว่า 6,000 ล้านตัน ผู้คน 6,600 ล้านคนทั่วโลก กำลังอพยพเข้าสู่เขตเมืองและแถบชานเมือง คนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 2 คน มีเงินมากกว่าค่าจีดีพีของประเทศยากจนที่สุด 45 ประเทศรวมกัน ประชากรโลก 3,000 ล้านคน มีเงินใช้ไม่ถึงวันละ 2 ดอลลาร์สหรัฐ ช่องว่างระหว่างคนรวย-คนจน ถ่างกว้างมากขึ้น ...สถิติเหล่านี้เป็นเพียงเสี้ยวธุลีของปัจจัยสำคัญและผลกระทบมหาศาลอันเนื่องมาจากวิกฤติโลกร้อน รวมถึงภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงจากสภาวะเรือนกระจก
จุดกำเนิดของภาวะวิกฤติอันน่าตระหนกดังกล่าว อาจมิได้มาจากปัจจัยภายนอกอื่นใดเลย หากเกิดจากจิตสำนึกอันบกพร่องของมนุษย์เรานี่เอง จิตสำนึกที่มุ่งแต่จะตักตวง กอบโกย เรียกร้องเอาจาก โลก โดยมิไยดีถึงการรักษา เยียวยาบาดแผลที่เราต่างร่วมสังฆกรรมขุดเจาะ ถอนรากถอนโคน ในทุกๆ ทรัพยากรอันมีค่าที่โลกมอบให้เพื่อนำมาเป็นของตนแต่เพียงผู้เดียว ทั้งที่สิ่งเหล่านั้นดำรงอยู่เพื่อทุกสรรพชีวิต มิใช่ของใคร หรือของ เผ่าพันธุ์ใด เผ่าพันธุ์หนึ่ง แต่มนุษย์ก็เสนอหน้าขอรับสิทธิดังกล่าว โดยสิ่งมีชีวิตอื่นมิอาจคัดค้านต้านทาน กระทั่งวันนี้ บทลงทัณฑ์เดินทางมาถึง ธรรมชาติกำลังเอ่ยปากเรียกร้องทวงสิทธิ์ให้ มนุษย์ หันกลับมามองการกระทำอันเลวร้ายของตน ทำความเข้าใจ เพื่อหาหนทางรักษา เยียวยา ปรากฏการณ์น้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง, โรคระบาด, น้ำท่วมครั้งใหญ่, ภูเขาน้ำแข็งขั้วโลกละลาย, ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูง, ปะการังเกิดการฟอกขาว, สัตว์ป่าหลายชนิดสูญพันธุ์ รวมถึงปัญหาด้านระบบนิเวศน์อีกเกินจะนับที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ไม่เพียงกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในอาณาบริเวณนั้นๆ หากทว่า มันคือ ผีเสื้อขยับปีก ที่ส่งผลสะเทือนถึงทุกๆ วิถีชีวิตที่กำลังดำเนินอยู่บนโลกใบนี้
ดังเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ใน "ชีพจรโลก ท่ามกลางวิกฤติโลกร้อน" จาก NATIONAL GEOGRAPHIC หนังสือซึ่งรวบรวมภาพและข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบจากโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่เกิดขึ้นทั่วโลกได้อย่างเจาะลึก นับแต่สภาพความเป็นอยู่ของมวลมนุษย์ เรื่อยไปถึงสายสัมพันธ์ระหว่างเรากับธรรมชาติ ก่อนจะนำไปสู่ยุคสมัยที่โลกทั้งใบเชื่อมโยงถึงกัน ภาวะวิกฤติที่ถูกเอ่ยถึง คล้ายจะเป็นเรื่องไกลตัว แต่ความจริงที่ว่า เราทุกคนล้วนถูกโยงใยไว้ด้วยกัน ทุกๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลกจึงย่อมได้รับผลจากการกระทำของเรา ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ ภาพความเป็นจริงที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มนี้ นับแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้าย แม้จะบอกกล่าวถึงข้อมูลอันน่าหวาดหวั่น แต่โลกใบนี้ก็กำลังรอคอยการแต้มสีลงไปอีกครั้งด้วยความหวังและการร่วมมือกันเยียวยาอย่างจริงจังจากเราทุกคน ดังคำนิยมในเล่ม ที่ ดร. อ้อย กาญจนะวนิชย์ เลขาธิการมูลนิธิโลกสีเขียว ฝากไว้ น่าจะกระตุกจิตสำนึกของคนในสังคมได้ไม่มากก็น้อย คนไทยโดย เฉพาะคนกรุงเทพฯ มีบทบาทสำคัญในการร่วมกำหนดอนาคตโลก เพราะคนกรุงเทพฯ เรา ปล่อยคาร์บอนเฉลี่ยต่อหัวต่อปีถึงคนละ 7.3 ตัน เท่าๆ กับชาวนิวยอร์ก (7.1 ตัน) และมากกว่าชาวลอนดอน ( 5.9 ตัน) กับชาวโตเกียว (5.7 ตัน) เมื่อพิจารณาดีๆ จะเห็นว่าไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะร้อยละ 50 มาจากการเผาน้ำมันไปกับการจราจรที่ขาดระบบขนส่งมวลชนที่ดีพอ อีกร้อยละ 33 มาจากการใช้ไฟฟ้า ซึ่งกว่าครึ่งหนึ่งหมดไปกับเครื่องปรับอากาศ ไฟฟ้าทั้งหลายที่เราใช้ส่วนใหญ่มาจากน้ำมัน ถ่านหิน และเขื่อน ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพและชีวิตของคนชนบท "พวกเขาต้องสูญเสียอาชีพ สูญเสียป่าริมน้ำซึ่งเป็นระบบนิเวศน์เฉพาะ สูญเสียพันธุ์ปลาที่ต้องเดินทางอพยพขึ้นลงลำน้ำเพื่อหากิน ผสมพันธุ์ และวางไข่ แลกกับการใช้ไฟฟ้าตามห้างสรรพสินค้าและตึกสำนักงานขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ ที่ใช้ไฟกันเฉลี่ยรายละกว่า 15,000 เมกะวัตต์ชั่วโมง เทียบกับบ้านเรือนที่ใช้กัน เฉลี่ย 6 เมกะวัตต์ชั่วโมง "เมื่อ 50 ปีก่อน ประเทศไทยมีพื้นที่ป่ามากกว่าร้อยละ 50 และประชากรเพียง 20 ล้านคน ในวันนี้ เราเหลือป่าน้อยกว่าร้อยละ 20 ขณะที่ประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 65 ล้านคน....
"แม้สถานการณ์สิ่งแวดล้อมโลกจะดูหดหู่ แต่มันเป็นโอกาสที่เราจะได้ใช้ศักยภาพพลังสร้างสรรค์ของมนุษย์อย่างเต็มที่ เพราะเราไม่ใช่กาฝากเกาะกินโลกไปวันๆ ชีวิตเรามีความหมายมากกว่าการเป็นเพียงผู้บริโภค เรารับสถานการณ์ท้าทายนี้ได้ แต่เราต้องทำกันทันที ................. สำคัญกว่านั้น ต้องเป็นการลงมือทำอย่างจริงจัง ที่ไม่ใช่เพียงป่าวประกาศผ่านงานอีเวนท์อลังการ, รณรงค์งดใช้ถุงพลาสติกแล้วผลิตถุงผ้าอย่างบ้าคลั่ง-ขณะที่ข้างในถุงผ้าก็ซ้อนถุงพลาสติกไว้อีกชั้นหนึ่ง,
จัดแคมเปญปิดไฟ 1 ชั่วโมง จากนั้น...ก็แล้วกันไป ปล่อยให้ห้างสรรพสินค้าใหญ่ยักษ์ใจกลางเมืองยังใช้ไฟฟ้ามหาศาลราวกับหลุมดำที่ดูดกลืนทุกสรรพสิ่ง การกระทำเพียงเปลือกนอกเพื่อโหนกระแส ไม่ได้ช่วยให้โลกใบนี้ฟื้นขึ้นจากความป่วยไข้... จิตสำนึกและการร่วมมือ-ลงมือทำอย่างจริงจังต่างหาก... ที่จะช่วยชะลอกาลอวสานของโลก...ให้มาถึงช้าลง ............... หมายเหตุ : ข้อมูลสถิติที่ยกมาไว้ข้างต้น รวมถึงภาพประกอบบทความ คือข้อมูลจากหนังสือ "ชีพจรโลกท่ามกลางวิกฤติโลกร้อน" เขียนโดย ทอมัส เฮย์เดน แปลโดย ลลิตา ผลผลา
จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 26 มีนาคม 2551
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #218 เมื่อ: มีนาคม 26, 2008, 12:29:32 AM » |
|
อุตุฯชี้โลกร้อนส่งผลอากาศแปรปรวนสุดในรอบ 3 ปี
กรมอุตุฯ เตือนสภาวะโลกร้อน ส่งผลสภาพอากาศแปรปรวนสุดในรอบ 3 ปี อุณหภูมิของประเทศไทยเฉลี่ยสูงสุดในปีนี้จะสูงถึง 41 องศา เตือนภัยธรรมชาติเหตุปรากฏการณ์ลานินญาทำให้มีปริมาณน้ำฝนมากกว่าปกติ
คนกรุงเทพฯ ระวังลมพายุ 60-70 กม./ชม. หวั่นป้ายโฆษณาโค่น
เมื่อวันที่ 25 มีนาคม นายต่อศักดิ์ วานิชขจร รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ให้สัมภาษณ์ว่า สภาพอากาศปีนี้ของประเทศไทยถือว่ามีความรุนแรงและแปรปรวนมากที่สุด เมื่อเทียบกับ 3 ปีที่ผ่านมา และอุณหภูมิของประเทศไทยเฉลี่ยสูงสุดปีนี้จะสูงถึง 41 องศาเซลเซียส ทั้งนี้ เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวนและภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้น ซึ่งสภาพอากาศที่มีพายุฤดูร้อนของประเทศไทยเกิดจากสภาพอากาศเย็นที่แผ่ปกคลุมลงมาจึงทำให้เกิดพายุฤดูร้อน นอกจากนี้เชื่อว่าจะทำให้มีพายุฤดูร้อนยาวนานถึงสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้
อย่างไรก็ตาม เตือนประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดพายุฤดูร้อนให้เตรียมรับมือกับภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้น และรับฟังข่าวสารจากกรมอุตุนิยมวิทยา สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานครในช่วงเดือนเมษายนนี้จะมีลมกระโชกแรง และอาจทำให้ป้ายโฆษณาและต้นไม้ใหญ่หักโค่นลงมาใส่บ้านเรือนเสียหายได้ จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันเตรียมป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น
นายต่อศักดิ์กล่าวว่า สภาพอากาศร้อนของประเทศไทยกลางเดือนเมษายนนี้จะสูงสุดอยู่ที่ไม่เกิน 41 องศาเซลเซียส และในปีนี้วันที่ 27 เมษายน จะเป็นวันที่ดวงอาทิตย์ตั้งฉากกับประเทศไทย แต่จะมีความร้อนอยู่ที่ 36-37 องศาเซลเซียสเท่านั้น
นายเกรียงไกร กอวัฒนา รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวว่า เดือนเมษายนจะเกิดพายุฤดูร้อน หลายจังหวัดมีอากาศเย็นเบียดตัวเข้ามาทำให้เกิดฝนตกและมีลูกเห็บขนาดใหญ่ ส่วนที่กรุงเทพฯ จะมีลมแรงเกินกว่า 60-70 กม./ชม. ขอเตือนให้ประชาชนระมัดระวังอันตราย สำหรับฝนตกในช่วงนี้จะไม่ส่งผลต่อผลิตผลทางการเกษตร จึงไม่จำเป็นต้องปลูกข้าวนาปรัง เพราะอาจประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ และขอแนะนำให้รับจัดหาแหล่งกักเก็บน้ำให้เพียงพอในช่วงหน้าแล้ง
"เวลานี้ที่ประเทศในแถบอเมริกาใต้เกิดปรากฏการณ์ลานินญา ซึ่งเป็นภาวะภัยแล้ง ในขณะเดียวกันปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นตัวบ่งชี้ว่า ฤดูฝนปีนี้ประเทศไทยจะมีปริมาณน้ำฝนสูงกว่าค่าปกติ แต่ต้องติดตามตัวเลขอย่างใกล้ชิด เพราะอาจจะเกิดภัยธรรมชาติได้" นายเกรียงไกรระบุ
ขณะที่ ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์และฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สภาพอากาศร้อนในขณะนี้ถือว่ายังอยู่ในระดับปกติ ส่วนพายุฤดูร้อนก็เกิดขึ้นเป็นประจำ จึงสรุปไม่ได้ว่าเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน เนื่องจากภาวะโลกร้อนจะไม่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิในฤดูร้อนมากนัก แต่จะส่งผลต่อฤดูหนาวมากกว่าคือ ช่วงกลางคืนจะมีอากาศร้อนอบอ้าว จำนวนวันที่มีอากาศเย็นน้อยลงหรือยาวนานขึ้นผิดปกติ
กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04.00 น. วันที่ 25 มีนาคม ว่าบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและด้านตะวันออกของภาคเหนือเริ่มอ่อนกำลังลง ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนอบอ้าว ลักษณะเช่นนี้ยังทำให้บริเวณดังกล่าวเกิดพายุฤดูร้อน โดยมีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกได้ในบางพื้นที่ จึงขอให้ประชาชนโดยเฉพาะบริเวณจังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน พิษณุโลก นครราชสีมา นครสวรรค์ กาญจนบุรี ชลบุรี จันทบุรี และตราด ระมัดระวังอันตรายจากภัยธรรมชาติดังกล่าวในระยะนี้ไว้ด้วย
ทั้งนี้ เมื่อกลางดึกของคืนวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา เกิดพายุฤดูร้อน ลมแรง ฝนตกและลูกเห็บตกอย่างหนักในพื้นที่บ้านวังโพ บ้านวังจันทร์ และบ้านดงลาน ต.วังจันทร์ อ.สามเงา จ.ตาก ทำให้บ้านเรือนราษฎรพังเสียหายกว่า 300 หลังคาเรือน บางหลังถูกลมพัดหลังคาเสียหายหมดทั้งหลัง หลังคากระเบื้องถูกลูกเห็บตกใส่ทะลุเสียหายอย่างมาก ประชาชนไร้ที่อยู่อาศัย ไฟฟ้าดับหมด
นอกจากนั้นยังมีต้นไม้ ไม้ผล รวมทั้งพืชผลทางการเกษตรเสียหายจำนวนมาก โดยเฉพาะกล้วยไข่กำลังให้ผลผลิตจำนวนหลายร้อยไร่ หลังเกิดเหตุหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งสำรวจและเข้าช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างเร่งด่วนแล้ว.
จาก : X-cite ไทยโพสต์ วันที่ 26 มีนาคม 2551
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
WayfarinG
|
 |
« ตอบ #219 เมื่อ: มีนาคม 26, 2008, 01:14:53 AM » |
|
เมื่อเช้าดูข่าว.. เค้าเอารูปที่ถ่ายที่แอนต๊ากติก้า มาให้ดู เห็นเป็นทางน้ำแข็งแตกเป็นชิ้นๆ เนื่องจากภาวะ โลกร้อน..  น่ากลัวมากๆ เลยคะ.. 
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
If you reject the food, ignore the customs, fear the religion and avoid the people, you might better stay home. -- > James Michener
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #223 เมื่อ: เมษายน 17, 2008, 12:43:52 AM » |
|
นักวิทยาศาสตร์เตือนโลกร้อน ทำระดับน้ำทะเลสูงขึ้นกว่า 1 เมตร นักวิทยาศาสตร์เตือนสภาวะโลกร้อนจะทำให้ระดับน้ำทะเลหลังสิ้นศตวรรษนี้ เพิ่มสูงขึ้นอีกกว่า 1 เมตร อาจจะทำให้น้ำท่วม ประชาชนหลายสิบล้านคนไม่มีที่อยู่อาศัย
ลอนดอน-นักวิทยาศาสตร์ในอังกฤษเปิดเผยรายงานฉบับหนึ่งที่ระบุว่า เมื่อสิ้นศตวรรษนี้ไปแล้ว ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้นอีกกว่าหนึ่งเมตร อันเนื่องจากสภาวะโลกร้อน ทำให้แผ่นน้ำแข็งที่ขั้วโลกละลาย
ผลงานวิจัยชิ้นใหม่ที่จัดทำโดยคณะนักวิทยาศาสตร์จากห้องปฏิบัติการวิจัยสมุทรศาสตร์ในอังกฤษระบุว่า การละลายของธารน้ำแข็ง กับการแตกหักของแผ่นน้ำแข็งที่ขั้วโลก รวมทั้งภาวะโลกร้อนที่กำลังเผชิญกันอยู่ อาจทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นอีก 1.5 เมตร ในช่วงสิ้นศตวรรษนี้ ซึ่งปรากฎการณ์ดังกล่าว จะทำให้น้ำไหลบ่าเข้าท่วมแผ่นดิน เป็นเหตุให้ประชาชนหลายสิบล้านคนไม่มีที่อยู่อาศัย
รายงานผลการวิจัยชิ้นนี้ที่ถูกนำเสนอในที่ประชุมยูโรเปี้ยน จีโอไซน์ ยูเนี่ยนนั้น นักวิจัยทำนายว่า ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศหรือไอพีซีซี ทำนายเอาไว้เมื่อปีที่แล้วถึงสามเท่า ซึ่งไอพีซีซี เพิ่งคว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพร่วมกับนายอัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อปี 2550
หนึ่งในทีมวิจัยระบุว่า ผลการทำนายมาจากการประเมินแบบจำลองใหม่ ที่มีความแม่นยำเกี่ยวกับความเป็นไปของระดับน้ำทะเลในช่วง 2,000 ปีที่ผ่านมา โดยในศตวรรษที่ 18 ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น 2 เซนติเมตร และสูงขึ้นอีก 6 เซนติเมตรในศตวรรษที่ 19 จนกระทั่งศตวรรษที่แล้ว ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นอีก 19 เซนติเมตร ซึ่งดูเหมือนว่า ระดับน้ำทะเลพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในศตวรรษที่ 20 อันเนื่องจากการละลายของแผ่นน้ำแข็ง
ด้าน นายสตีฟ เนเร็ม นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยโคโลราโด้ในสหรัฐกล่าวสนับสนุนรายงานชิ้นล่าสุดว่า มีหลักฐานมากมายที่บ่งชี้ว่า ในปีพุทธศักราช 2643 หรือปีคริสตศักราช 2100 หรือในอีก 92 ปีข้างหน้า ชาวโลกจะได้เห็นระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นไม่ต่ำกว่า 1 เมตร ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น ประชาชนชาวจีนจำนวน 72 ล้านคน และประชากรเวียดนามถึงร้อยละ 10 จะกลายเป็นคนไร้ที่อยู่อาศัย
จาก : แนวหน้า วันที่ 17 เมษายน 2551
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
|
|