|
WayfarinG
|
 |
« ตอบ #45 เมื่อ: พฤษภาคม 04, 2007, 06:01:00 AM » |
|
...สงสัยเราต้องซื้อเสาเข็มมาตุนซะแล้ว... 
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
If you reject the food, ignore the customs, fear the religion and avoid the people, you might better stay home. -- > James Michener
|
|
|
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
   
ออฟไลน์
กระทู้: 8186
Saaychol
|
 |
« ตอบ #46 เมื่อ: พฤษภาคม 04, 2007, 07:02:30 AM » |
|
เขาบอกว่า.....ทะเลยืดได้หดได้มาหลายล้านปีแล้ว เดิมทีมีหลักฐานว่าปากทะเลอ่าวไทยอยู่แถวเมืองราชบุรี....อยุธยา...นครนายก...
ตอนหลังเกิดตะกอนทับถมสูงขึ้นๆที่ปากแม่น้ำสายสำคัญๆของเมืองเหล่านั้น เกิดแผ่นดินงอกเพิ่มขึ้นๆ คนก็พากันหลั่งไหลตามมาลงเสาปลูกเรือนตามแผ่นดินที่งอกออกมาใหม่ ส่วนพวกที่ยังกลัวหน่อยก็ยังขออยู่ในเรือนแพ ที่พร้อมจะถอยหนีลอยกลับไปในแม่น้ำอีกทันทีที่เห็นท่าไม่ดี
และแล้ว...วันไม่ดีคืนไม่ดีก็มาถึง....ทะเลสาดซัดเข้ามาท่วมแผ่นดินที่งอกขึ้นมา เหมือนทะเลจะทวงอาณาเขตที่แผ่นดินยึดครองลุกล้ำเข้าไปในเขตทะเลกลับคืนไปบ้าง ซึ่งก็ไม่น่าจะแปลกใจอะไร
แต่ที่ทนเห็นภาพอย่างนั้นไม่ได้....ก็คือมนุษย์ที่เข้าไปจับจองเป็นเจ้าของแผ่นดินงอกที่ที่ดินหดหายลงไปทุกทีๆ จนต้องออกแรงขวนขวายหาทางทวงคืนแผ่นดินที่หายไป และป้องกันไม่ให้แผ่นดินที่มีอยู่หดหายไปมากกว่าเดิม....
ก็ต้องสู้กันไปนะคะ...ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะต้านแรงทะเลไปได้อีกนานแค่ไหน....
|
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 04, 2007, 08:53:54 AM โดย สายชล »
|
บันทึกการเข้า
|
Saaychol
|
|
|
|
Sea Man
|
 |
« ตอบ #47 เมื่อ: พฤษภาคม 04, 2007, 07:10:21 AM » |
|
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
.....รู้จักคิด....ฟังความคิดผู้อื่น....พร้อมเปลี่ยนแปลง....ไปสู่สิ่งใหม่และดีกว่า.....
|
|
|
|
|
|
frappe
|
 |
« ตอบ #49 เมื่อ: พฤษภาคม 04, 2007, 11:21:20 AM » |
|
ม่ายก้อสงสัยคงต้องเตรียมซื้อเรือรอเลยมั้งคะ  ต่อเดียวแทนรถกะบ้านได้เลยอ่ะ 
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
มีใจเป็นมิตร มีจิตเป็นเพื่อน 
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #50 เมื่อ: พฤษภาคม 04, 2007, 11:36:10 PM » |
|
รูดม่านประชุมโลกร้อนวอนทั่วโลกร่วมลดก๊าซเรือน กระจก ที่ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ นายราเชนทรา ปาจาอุรี ประธานคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ หรือไอพีซีซี (Intergovernmental Panel on Climate Change : IPCC) พร้อมด้วยนายโอกันลาเด เดวิดสัน และเบิร์ต เม็ตซ์ ประธานร่วมของไอพีซีซี ฝ่ายกลุ่มทำงานที่ 3 ได้ร่วมกันแถลงถึงรายละเอียดของรายงานฉบับที่ 3 เรื่องการ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคส่วนต่างๆ หลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศว่าด้วยการเปลี่ยน แปลงภูมิอากาศ หรือไอพีซีซี เมื่อ 4 พ.ค. ว่า การลดปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศให้ต่ำกว่าระดับที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งนี้ รายงานเผยว่า ในปี 2015 จำเป็นที่ทุกประเทศต้องเริ่มลดปริมาณการปล่อยก๊าซสู่ชั้นบรรยากาศอย่างจริงจัง จึงจะสามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบอันเลวร้ายจากสถานการณ์โลกร้อนได้และการบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอีก 2-3 ทศวรรษข้างหน้า จะเป็นผลอย่างมากต่อโอกาสที่จะลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่สะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศ อีกทั้งยังจะสามารถสร้างระบบเศรษฐกิจที่มีความมั่นคงและมีศักยภาพ ซึ่งนั่นจะตามมาหลังสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ภายในทศวรรษ ก๊าซเรือนกระจกเป็นฉนวนสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน โดยเก็บกักความร้อนจากดวงอาทิตย์ไม่ให้ทะลุผ่านชั้นบรรยากาศโลกออกไป
ด้านนายโอกันลาเด เดวิดสัน ผู้ร่วมเขียนรายงาน กล่าวว่า ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปลดปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศตั้งแต่ปี 1970 ถึงปัจจุบันได้เพิ่มขึ้นถึง 70% และจะเพิ่มขึ้นอีกมากถึง 25-90% ในช่วง 25 ปีถัดไป หากยังคงมีพฤติกรรมการใช้พลังงานจากซากฟอสซิลเป็นพลังงานหลักอยู่อย่างนี้ ดังนั้นแต่ละประเทศควรพิจารณาการใช้พลังงานหมุนเวียนกันให้มากขึ้น อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์, พลังงานลม และพลังงานน้ำ และหนทางอื่นๆที่นำไปสู่การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงพลังงานนิวเคลียร์
นายเกษมสันต์ จิณณวาโส เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า ประเทศไทยสามารถพิจารณาใช้ทางเลือกที่มีความเหมาะสมและเป็นไปได้ตามแนวทางของไอพีซีซี อาทิ ทางเลือกในการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงาน โดยการลงทุนในภาคพลังงานจะมีส่วนสำคัญต่อปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้ภายในปี 2030 ซึ่งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงานทำได้โดยการลงทุนด้านพลังงานทดแทน และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานทางเลือกที่สามารถทำได้ในปัจจุบัน ซึ่งมีส่วนสำคัญในการลดก๊าซเรือนกระจกในอนาคต.
*************************************************
วิบากกรรมเอเชีย สภาพอากาศโลกร้อนและปัญหามลภาวะ มักถูกหยิบยกขึ้นมาเอ่ยถึงกันตลอด การแก้ปัญหา มีอยู่ตลอดเช่นกัน แต่ดูเหมือนผลการแก้ไขเยียวยาสิ่งที่เกิดขึ้นมักไม่ทันอกทันใจ เนื่องเพราะสิ่งที่ถูกทำลายมันมากเกินกำลังการแก้ไขหลายเท่านัก
ว่ากันเฉพาะภูมิภาคเอเชียใกล้ตัว เมื่อถึงฤดูร้อน ผู้คนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายประเทศ บ้างต้องขยี้ตาหรือปิดจมูก เนื่องเพราะควันพิษจากไฟไหม้ป่าในอินโดนีเซีย พัดแผ่ปกคลุมหลายพื้นที่ สภาพการณ์ลักษณะนี้คือ ขาประจำ เกิดขึ้นทุกปีตั้งแต่ช่วงเดือน พ.ค.ถึง ต.ค.
ไม่เฉพาะแค่ควันไฟไหม้ป่าเท่านั้น หากแต่ยังรวมถึงฝุ่นควันจากพายุทรายและควันจากโรงงานอุตสาหกรรม กับมลพิษทางอากาศอื่นๆผสมปนเปด้วย
ชาวสิงคโปร์ ชาติเจริญที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาคนี้ ใครจะออกนอกบ้านที ต้องกดอินเตอร์เน็ตตรวจสอบข้อมูลสภาพมลภาวะทางอากาศ เพื่อเตรียมอุปกรณ์ป้องกันตัวเองให้เหมาะสม หรือไม่ก็เลือกเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ในบ้านไปเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และเด็กที่เสี่ยงมีปัญหาระบบทางเดินหายใจ
หลายครั้งโทรทัศน์สิงคโปร์ออกอากาศเตือนชาวบ้านถึงกลุ่มควันไฟไหม้ป่าจากอินโดนีเซียลอย ปกคลุมจากเกาะบอร์เนียวและสุมาตรา ระยะไกลถึง 2,500 กม.
เพื่อนบ้านแถบเอเชียชาติอื่นก็ใช่จะรอด... ช่วงเดือน มี.ค.ถึง พ.ค. ชาวคาบสมุทรเกาหลีต้องปรับตัวเปลี่ยนเครื่องแบบ สวมหน้ากากกรองฝุ่น เปลี่ยนคอนแทกเลนส์ ทั้งยังต้องปิดประตูหน้าต่างบ้าน ตั้งป้อมเตรียมรับภัยพายุทรายที่พัดมาจากทะเลทรายโกบีของจีน ข้ามมาสู่คาบสมุทรเกาหลีลามถึงญี่ปุ่น...
ส่วนชาวบ้านแถบเอเชียเหนือ...ตั้งแต่ช่วงเดือน พ.ย.ถึง มี.ค. ผู้คนก็ต้องสวมหน้ากากกรองอากาศเช่นกัน เหตุเพราะย่างเข้าฤดูหนาว ต้องเพิ่มเผาถ่านหินผลิตกระแสไฟฟ้าสร้างความอบอุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจีนกับรัสเซีย
รูปแบบของมลภาวะทางอากาศ แม้ว่าสามารถ ทำนายการเกิดและป้องกันได้ ไม่เหมือนกับการเผชิญพายุไต้ฝุ่นหรือพายุมรสุม ซึ่งจะรู้แค่ช่วงเวลาการเกิดแต่ป้องกันไม่ได้ จึงก่อให้เกิดการกล่าวหากันไปมาระหว่างประเทศถึงการเป็นต้นเหตุแห่งมลภาวะทางอากาศ
หลายครั้งเกาหลีใต้กล่าวหาจีนล้มเหลวในความพยายามหยุดยั้ง การแผ้วถางป่าจนเหี้ยนกลายเป็นทะเลทราย จนก่อให้เกิดพายุทรายพัดกระหน่ำทั้งจีนเองและลามถึงประเทศอื่น ถึงขนาดขนานนามพายุทรายจากจีนคือ ฝุ่นเหลืองก่อการร้าย ไม่นับรวมถึงการกล่าวหากันเรื่องเผาถ่านหินคาร์บอน ก่อมลภาวะกันแทบทุกประเทศในภูมิภาค...
หลายคนชี้ว่า บทสรุปของปัญหานี้จะยืดเยื้อต่อไปอีก 50-100 ปี จนกว่าถ่านหินที่มี เหลืออีกกว่า 50,000 ล้านตัน ถูกนำมาเผาจนสิ้นซาก สถานการณ์อาจทุเลาลงได้บ้าง...
จาก : ไทยรัฐ วันที่ 5 พฤษภาคม 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
Sri_Nuan.Ray
|
 |
« ตอบ #54 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2007, 06:35:24 AM » |
|
แล้ว วิธีแก้ ทำได้อย่างไร ค่ะ เพื่อไม่ให้ลูกๆ แม่หอย ซี้แหง๋แก๋ น่ะค่ะ
ถ่ายน้ำ ช่วยได้ไหมค่ะ.... 
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
~~~ หากเราหยุดนิ่ง ทุกอย่างที่ผ่านมา คือ อดีต.... ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อมันจะได้เป็นอดีตที่มีค่าแก่ ความทรงจำของเรา ~~~
|
|
|
|
แม่หอย
|
 |
« ตอบ #55 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2007, 12:11:48 PM » |
|
 ถ่ายน้ำก็ได้น้ำจืดๆ ลงมาอีก แงๆ.. เมื่อวานเลยใช้วิธีเติมเกลือ เดินลากถุงเกลือให้ละลายเติมในน้ำพอบรรเทาความเดือดร้อนค่ะ วันนี้ความเค็มกระเตื้องขึ้นมานิดๆ แต่ฟ้ายังฉ่ำๆ อยู่ 2-3 วันมานี้ ลูกๆ ตัวขนาดเกือบฟุตลิ้นห้อยซี้แหงไปนับสิบแล้ว ไม่เป็นไรค่ะ เกิดแก่เจ็บตายเป็นสามัญ แม่หอยก็กะลังจะลาโลกในไม่ช้า ก่อนน้ำแข็งขั้วโลกละลายหมด.. 
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
Vita
|
 |
« ตอบ #56 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2007, 01:54:11 PM » |
|
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เช่นนี้แล เกิด แล้วก็ดับ ..........ฉะนั้นต้องไม่อยู่เฉย เดี๋ยวจะตายหมด ..........ขอให้ปรับสมดุล ลูกๆหอย ให้ได้เร็วๆนะครับ ..........มนุษย์เก่งตรงที่ อยากได้อะไรก็ทำเหตุปัจจัยให้พร้อม ไม่มัวอยู่เฉย ..........เมื่อเหตุปัจจัยต่างๆพร้อม ไม่ต้องอ้อนวอนขอเทพองค์ไหน สิ่งนั้นก็ต้องเกิด
.........ก็เช่นเดียวกับโลกร้อน ต้องรีบช่วยกันคนละไม้ละมือ สร้างเหตุที่จะทำให้โลกกลับสู่สมดุลย์ .........ไม่งั้นมีหวัง อีกหน่อยกลายเป็น กบตุ๋น เหมือนที่ กอร์ บอกไว้แน่ๆเลย
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา
|
|
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #58 เมื่อ: พฤษภาคม 06, 2007, 12:31:03 AM » |
|
พันธกรณี'ลดโลกร้อน' 'หอกข้างแคร่'ทศวรรษใหม่
การประชุมลดภาวะโลกร้อนของนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก และบรรดาผู้แทนจากประเทศต่างๆ 180 ประเทศ รวมกันกว่า 400 คน
เพื่อสรุปรายงานโลกร้อนฉบับที่ 3 ที่ว่าด้วยมาตรการบรรเทาผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ของคณะกรรมการระหว่างประเทศว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ (IPCC) ที่มีการหารือตลอดช่วง 4 วันที่ผ่านมา ณ เวทีประชุมยูเอ็นในกรุงเทพฯ มีบทสรุปที่ได้ชี้ชัดไปว่า มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้จำเป็นต้องช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อเยียวยาสภาพอากาศโลกไม่ให้เปลี่ยนแปลง มีอุณหภูมิสูงขึ้นไปในทางเลวร้ายยิ่งไปกว่านี้ และการร่วมมือดังกล่าวจะต้องเห็นผลชัดเจนในช่วงอีก 50 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นว่า การลงทุนแก้ไขภาวะโลกร้อนมีต้นทุนทางการเงินเพียง 0.12% ของจีดีพีโลกเท่านั้น ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับความเสียหายที่โลกอาจได้รับจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ส่วนบทบาทของแต่ละประเทศที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก IPCC ได้พุ่งเป้าไปที่ประเทศกำลังพัฒนา โดยแสดงนัยสำคัญว่าเป็นต้นตอที่ทำให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกพุ่งสูงขึ้น
สิ่งที่ไม่มีการพูดกันอย่างกว้างขวางนั้นก็คือ ก่อนที่รายงาน IPCC จะประกาศให้สังคมโลกได้รับทราบมติในที่ประชุม ได้มีการเจรจาถกเถียงกันระหว่างประเทศต่างๆ อย่างหนักมาแล้ว โดยแต่ละประเทศล้วนมีจุดยืนเพื่อรักษาผลประโยชน์ตัวเอง โดยเฉพาะประเด็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นปัญหาสำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษว่าเป็นตัวการทำให้โลกร้อน มีการถกเถียงอย่างมาก เนื่องจากประเทศกลุ่มกำลังพัฒนาเกิดความกังวลว่า นโยบายลดภาวะโลกร้อนจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของตน ตลอดจนกังขาว่ารายงานของ IPCC ที่ผุดออกมาเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรมกับพวกเขาหรือไม่ แนวทางแก้ปัญหาที่สรุปออกมานั้น เปิดทางให้ประเทศอุตสาหกรรมผลักภาระให้ประเทศกำลังพัฒนามากเกินไปหรือเปล่า การต่อสู้ของประเทศกำลังพัฒนาในประเด็นนี้จึงบังเกิดขึ้น
รศ.ดร.สิตานนท์ เจษฎาพิพัฒน์ ผู้ประสานงาน RedCross/Red Crescent, Climate Change Group, The Netherlands หนึ่งในคณะกรรมการวิจารณ์ยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนของประเทศไทย กล่าวว่า เท่าที่รู้มาจากผู้เข้าร่วมประชุมระหว่างการประชุมจีนกับอเมริกาเหนือและยุโรป ได้ถกเถียงกันถึงต้นทุนของการลดการปล่อยก๊าซและระดับก๊าซเรือนกระจกที่อนุญาตให้ปล่อยได้ ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่มีการต่อสู้ในประเด็นนี้ เพราะจากรายงานของ IPCC ในท้ายที่สุดประเทศกำลังพัฒนาตกเป็นจำเลย ประเทศพัฒนาแล้วปากว่าตาขยิบ พูดถึงแต่ปัญหาก๊าซเรือนกระจกที่ตามมา แล้วนำปัญหาเหล่านั้นมาข่มขู่ประเทศกำลังพัฒนา ทว่าละเลยความรับผิดชอบของตัวเอง
นอกจากนี้ ยังเห็นด้วยกับที่ประเทศจีนและบราซิลออกมาพูดว่า รายงานต้องมีความสมดุล (Balance) ของข้อมูลมากกว่านี้ โดยเฉพาะในจุดที่รายงานระบุว่า การลงมือทำเพื่อรักษาอุณหภูมิให้เพิ่มขึ้นแค่ 2 องศาเซลเซียส ใช้ต้นทุนของจีดีพีโลกเพียง 0.1% ต่อปี ตัวเลขนี้น้อยมากเมื่อเทียบกับต้นทุนความเสียหายจากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง แม้ไม่ใช่ตัวเลขใหม่แต่ชัดเจนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม คำถามที่ทุกคนละเลยนั่นคือใครเป็นคนจ่าย ใครเป็นคนแบกรับ คำตอบควรจะต้องออกมาจากประเทศพัฒนาแล้ว ต้องโยนลูกกลับไปหาเขามากกว่า
"เมื่อบอกว่าตัวเลขต่ำ บอกว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาจากพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ยั่งยืน ประเทศพัฒนาแล้วที่มีทั้งเงินและเทคโนโลยีรู้แล้วทำไมไม่ทำ ทั้งที่มีพันธกรณี ผมเองไม่ได้เข้าข้างใคร แต่เห็นว่ามันเป็นสิทธิ์ของประเทศกำลังพัฒนาที่จะทำการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อยกระดับประเทศของตนเองให้พ้นความยากจน นี่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ประเด็นเหล่านี้ถูกละเลย มันไม่แฟร์กับประเทศกำลังพัฒนา เป็นการโยนบาปให้ประเทศกำลังพัฒนา เป็นการแพ้ทางการเมือง การล็อบบี้มีมาตั้งแต่ในการประชุมที่โมร็อกโก ล็อบบี้หลังฉากแล้วค่อยๆ มาหน้าฉากมากขึ้น โยนพันธกรณีลดก๊าซเรือนกระจกมาให้ประเทศกำลังพัฒนา ไหนๆ พูดว่าเรื่องนี้เป็นการเมือง พูดข้อเท็จจริงฝ่ายเดียว แต่ไม่พูดข้อเท็จจริงที่สำคัญมากของชาติอุตสาหกรรมอีกฝ่ายหนึ่ง บาปก็มาตกอยู่ที่เขา เขาเพียงแค่ทวงสิทธิ์การพัฒนา"
เมื่อถามว่าประเทศในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา มีแนวโน้มปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้นตามรายงานฉบับนี้จริงหรือไม่ นักวิชาการคนเดิมกล่าวว่า จากรายงานแนวโน้มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของทั้งโลกเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ทศวรรษหน้า คาดว่าจะเพิ่มขึ้นได้ถึง 90% ในปี 2030 ถ้าเจาะลึกลงไปในรายละเอียดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ที่เพิ่มขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา เจ้าของก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมากลับไม่ใช่เจ้าของประเทศ แต่เป็นต่างชาติที่เข้าไปลงทุนมาซื้อกิจการในประเทศกำลังพัฒนา
"ยกตัวอย่างในบ้านเรา โรงปูนที่ใหญ่ที่สุดขณะนี้ไม่ใช่กิจการของคนไทย แต่เป็นของต่างชาติที่เข้ามาถือหุ้นลงทุน ผลกำไรที่ได้เขาก็เอากลับประเทศเขา แต่ก๊าซคาร์บอนฯ ที่ปล่อยกลับบอกว่าเป็นของประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งจุดนี้ชี้ให้เห็นว่า หากยังมีการลงทุนไร้พรมแดนและมีการเปิดการค้าเสรี ผลประโยชน์จะตกแก่ประเทศพัฒนาแล้วมากขึ้น นี่ยังไม่พูดถึงภาระทางภาษีที่ประเทศกำลังพัฒนาถูกเอาเปรียบอีกด้วย" รศ.ดร.สิตานนท์กล่าว
ในฐานะผู้วิจารณ์แผนยุทธศาสตร์แก้ปัญหาภาวะโลกร้อนให้รัฐบาล รศ.ดร.สิตานนท์กล่าวอีกว่า เท่าที่ดูรายงาน IPCC และคลุกคลีกับเรื่องภาวะโลกร้อน ระบุได้ว่าข้อมูลที่ออกมาไม่ใช่เนื้อหาสาระที่ใหม่เลย เพียงแต่มีนัยสำคัญที่ช่วยยกระดับความศักดิ์สิทธิ์ทางวิชาการ ทำให้เป็นที่ยอมรับทางการเมืองมากขึ้น และปฏิเสธไม่ได้ว่าคนที่เข้ามาให้ความเห็นชอบรายงานวิชาการแล้วมีการขยายวงออกไป ทำให้มีการแทรกแซงทางการเมืองเข้ามา
"รายงานและมติในที่ประชุม IPCC ที่กรุงเทพฯ จะกลายเป็นเอกสารชิ้นสำคัญ เพราะจากนี้ไปจะถูกใช้เป็นเอกสารหลักอ้างอิงในการเจรจาทางการเมือง" รศ.ดร.สิตานนท์ระบุและว่า โดยเฉพาะหลังจากปี 2012 ซึ่งเป็นปีที่พิธีสารเกียวโตจะหมดอายุลง จากนี้ไปประเทศกำลังพัฒนาต้องตั้งทีม และหยิบฉวยบทสรุปนี้มาใช้ให้เป็นประโยชน์กับตัวเองนำไปวางกลยุทธ์ใหม่ เพราะนี่จะกลายเป็นหอกทิ่มแทงตัวเองในอนาคตได้ ในส่วนของประเทศไทยต้องทำการบ้านในเรื่องเหล่านี้ ถามว่าหลังปี 2012 เราจะเอาองค์ความรู้และยุทธศาสตร์อะไรไปเจรจา ไม่มีใครตอบได้ แต่ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะลงทำในทันที"
หลังจากเวทีที่กรุงเทพฯ แล้วในช่วงปลายเดือนธันวาคมนี้จะมีการประชุมใหญ่ของ IPCC อีกครั้งที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ในส่วนนี้ รศ.ดร.สิตานนท์กล่าวว่า ไทยมีเวลา 6 เดือนนับถอยหลังจากนี้ไป อยากให้ภาครัฐและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เกิดกระบวนการในเรื่องต่างๆ ทั้งเรื่องสิทธิการรับรู้ สิทธิการมีส่วนร่วมในการเขียนกติกาซึ่งมีผลผูกมัดตัวเอง เราจะวางตัวเองไว้ตำแหน่งใด รักษาสิทธิประโยชน์ตัวเองได้อย่างไร มัวตั้งรับแบบเดิมไม่ได้ ต้องมียุทธศาสตร์เชิงรุก "ผมเคยท้วงติงรัฐมนตรีมาแล้วหลายท่านว่า นโยบายอะไรก็แล้วแต่ที่ประกาศไปแล้วจะเป็นการมัดคอตัวเอง ควรมีการหารือในวงกว้าง เช่น จะลดพลังกี่เปอร์เซ็นต์ภายในปีเท่านั้นเท่านี้ ป่าวประกาศบอกชาวบ้านออกมาเป็นนโยบายของชาติอยู่ฝ่ายเดียว ต้องมองแผนระยะยาว เพราะในอนาคตไทยจะถูกผลักให้อยู่ในกลุ่มพันธกรณีเข้มข้นขึ้น"
เขายังบอกอีกว่า ถ้ารัฐเองยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ ภาคส่วนอื่นก็ว้าเหว่ ที่สำคัญไม่ต้องรอรัฐบาลขิงแก่ ขณะนี้ไม่ใช่ใส่เกียร์ว่าง ดูเหมือนถอดเกียร์ทิ้งเสียมากกว่า น่าเป็นห่วง ฉะนั้นอย่าแขวนชีวิตประชาชนไว้กับภาคการเมือง รวมถึงรัฐบาลชุดใหม่ด้วย จากสภาพอากาศของโลกที่เลวร้าย เกมการเมืองดุเดือด เป็นโจทย์ที่ทุกภาคส่วนต้องหันหน้าเข้าหากันและหาแนวทางแก้ไขปัญหา เชื่อว่าไทยไม่ต้องการทำตัวเป็นภาระสิ่งแวดล้อมโลกแน่นอน
ธารา บัวคำศรี ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านพลังงานและภูมิอากาศของกลุ่มสิ่งแวดล้อมกรีนพีซ กล่าวว่า ข้อมูลตัวเลขจากรายงานฉบับนี้ แม้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศพัฒนาแล้วไม่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่า ประเทศพัฒนาแล้วใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ประเทศในเอเชียมีการเติบโตทางเศรฐกิจสูงมาก ใช้พลังงานสูงขึ้น แต่ยังขาดประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงาน แถมการพัฒนาทางเศรษฐกิจยังคงดำเนินต่อไป มีผลให้ถูกจับจ้อง อย่างไรก็ตาม เราต้องดูปริมาณการปล่อยต่อหัวประชากรของประเทศกำลังพัฒนา เทียบคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหัวประชากรจะน้อยกว่ามากเมื่อเทียบประเทศพัฒนาแล้ว อย่างจีนก็โต้แย้งว่าแม้จะมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ สูง แต่จำนวนประชากรกว่าพันล้านเฉลี่ยต่อหัวน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกา
ธารากล่าวอีกว่า อีกกรณีที่มีการถกเถียงกันเป็นตัวเลขก๊าซมีเทนในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกตัวหนึ่ง เป็นที่รู้กันว่าประเทศกำลังพัฒนาเป็นเมืองเกษตรกรรมทั้งนั้น แต่ภาพรวมเฉลี่ยการปลดปล่อยไม่เพียง 10% ถ้าเทียบกับคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีสูงกว่ามาก จึงไม่ใช่ประเด็นหลักที่จะมากดดันประเทศกำลังพัฒนาได้เท่าไร ในส่วนของประเทศไทยมีการปรับตัว ไทยก็มีการส่งเสริมวิธีการทำเกษตรกรรมเพื่อนำไปใช้ปรับตัวกับเรื่องนี้ เพื่อให้ปล่อยก๊าซมีเทนน้อยลง
"ประเด็นใครปล่อยมากปล่อยน้อยยังเป็นที่ถกเถียงกันในทุกเวที กลายเป็นประเด็นทางการเมือง เพราะเห็นชัดเป็นเรื่องผลประโยชน์ ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญประเทศพัฒนาต้องไม่ผลักภาระและ Blame ว่าประเทศกำลังพัฒนาเป็นต้นตอโลกร้อน อดีตที่ผ่านมาประเทศอุตสาหกรรมตะวันตกเป็นตัวการสำคัญการเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจกอย่างเข้มข้น ทำให้โลกร้อนขึ้นในปัจจุบัน ฉะนั้น ประเทศพัฒนาต้องเป็นผู้นำในการลดก๊าซเรือนกระจก เป็นต้นแบบไม่ให้ประเทศกำลังพัฒนาเจริญรอยตามการพัฒนาที่สร้างหายนะให้กับโลก และเดินไปสู่สังคมโลว์คาร์บอนฯ"
ธารากล่าวว่า ในการประชุม G8+5 ของบรรดาประเทศผู้นำในเดือนมิถุนายน และการเจรจาเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนในครั้งต่อไปในเดือนธันวาคมนี้ ทั่วโลกต่างจับตามองและคาดหวังที่จะเห็นความก้าวหน้าของการเจรจา ที่จะแสดงออกให้เห็นถึงความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการปกป้องสภาพภูมิอากาศโลก ซึ่งรายงานของ IPCC จะเพิ่มแรงกดดันให้บรรดาผู้นำของโลกเร่งลงมือแก้ปัญหาโลกร้อน โดยเฉพาะข้อมูลที่ชัดเจนเรื่องการแก้ปัญหาโลกร้อน ใช้ต้นทุนเพียงน้อยนิดของอัตราการเติบโตของโลก นอกจากนี้ การประชุม IPCC ครั้งที่ 4 ที่อินโดนีเซีย เป็นสิ่งสำคัญต่อการกำหนดพิธีสารเกียวโตในช่วงต่อไป รัฐบาลของประเทศต่างๆ ต้องรับรองว่า ภายในปี 2009 จะต้องมีข้อตกลงที่มีผลบังคับใช้ทางกฎหมายอันใหม่
ด้าน อารีย์ วัฒนา ทุมมาเกิด ผู้อำนวยการกลุ่มวิเคราะห์มาตรการ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย กล่าวว่า รายงานฉบับที่ 3 ของ IPCC ในครั้งนี้เป็นการนำการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์เข้าสู่กระบวนการทบทวน ตรวจสอบความถูกต้องก่อนที่จะสรุปเป็นแนวทางลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้กับประเทศภาคีสมาชิก ในการประชุมมีการทบทวนวิธีการคำนวณต้นทุน เน้นใช้เทคโนโลยีลดก๊าซเรือนกระจกที่มีต้นทุนต่ำ เพื่อไม่ให้ประเทศกำลังพัฒนาได้รับผลกระทบจากการต้องนำเข้าเทคโนโลยีเหล่านี้ แล้วยังมีการใช้กลไกสะอาดหรือ CDM มาเป็นแรงจูงใจให้ประเทศกำลังพัฒนาเข้ามามีส่วนร่วมลดการปล่อยก๊าซ ในรายงานได้เสนอแนะทางเลือกที่เหมาะสมและเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ ทั้งภาคพลังงาน ภาคคมนาคม ภาคอุตสาหกรรม ภาคที่อยู่อาศัยและพาณิชย์ ภาคป่าไม้ ภาคการจัดการของเสีย
อารีย์กล่าวอีกว่า ข้อเสนอแนะของในภาคต่างๆ ประเทศไทยทำมาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมให้ใช้พลังงานชีวภาพ การลงทุนด้านพลังงานทดแทน แต่ที่แนะให้ใช้พลังงานแสงแดดบ้านเรายังต้นทุนสูงอยู่ พลังงานลมก็ไม่เหมาะกับไทย ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมได้ปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมไปถึงนโยบายคมนาคมที่ส่งเสริมให้ใช้ระบบขนส่งมวลชน ระบบรางต่างๆ นโยบายของเรามีกรอบวางไว้ คิดว่าในการประชุมเวทีโลกครั้งนี้ไทยได้ประโยชน์ โดยเฉพาะการที่ยูเอ็นออกรายงานภาวะโลกร้อนชี้ให้รู้ว่าสภาพอากาศแย่ลง ทั่วโลกต้องลดการปล่อยก๊าซ
"เป็นบทสรุปที่ผู้บริหารประเทศต้องฟัง เพื่อให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาและหยิบยกเป็นนโยบายของชาติ นั่นหมายถึงมีงบประมาณสนับสนุนนำไปสู่การปฏิบัติ ขณะที่ประชาชนก็ตื่นตัวปัญหาโลกร้อน รับรู้ถึงปัญหาที่ใกล้ตัวเข้ามาทุกที ซึ่งเรามีส่วนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้เพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ประหยัดน้ำ ประหยัดไฟ การใช้บริการรถสาธารณะ ขอเพียงลงมือจริงก็ช่วยปกป้องสภาพภูมิอากาศได้" ผอ.กลุ่มวิเคราะห์มาตรการกล่าว และว่าหลังเสร็จสิ้นการประชุม IPCC 4 วัน สำนักงานนโยบายและแผนฯ จะทำรายงานส่งไปกระทรวงทรัพย์ฯ จากนั้นจะนำเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรีเป็นการรายงานเพื่อทราบแนวทางต่างๆ ที่รัฐบาลสามารถนำไปปฏิบัติ.
จาก : บทบรรณาธิการ ไทยโพสต์ 6 พฤษภาคม 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
Sri_Nuan.Ray
|
 |
« ตอบ #59 เมื่อ: พฤษภาคม 06, 2007, 01:47:38 AM » |
|
"ข้อเสนอแนะของในภาคต่างๆ ประเทศไทยทำมาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมให้ใช้พลังงานชีวภาพ การลงทุนด้านพลังงานทดแทน แต่ที่แนะให้ใช้พลังงานแสงแดดบ้านเรายังต้นทุนสูงอยู่ พลังงานลมก็ไม่เหมาะกับไทย ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมได้ปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมไปถึงนโยบายคมนาคมที่ส่งเสริมให้ใช้ระบบขนส่งมวลชน ระบบรางต่างๆ นโยบายของเรามีกรอบวางไว้"
จากข้อความดังกล่าว SNR เคยอยู่ในโรงงานอุตสาหกรรม ที่เรียกได้ว่า ใหญ่มาก ทางบริษัทเอง ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจเลย ในการรณณรงค์ เกี่ยวกับสภาพแวดล้อม และ เรื่องของสภาพสิ่งแวดล้อม หรือเรื่องเรือนกระจก ทั้งนี้เพราะ
1. บริษัทเป็นโรงงานที่ส่งออกไปต่างประเทศ เท่านั้น ในการติดต่อระหว่างประเทศนั้น ก็ต้องยอมรับเรื่องมาตฐาน ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ระบบ ISO14001 ,ISO9000 และมาตรฐานอื่นๆ ที่ล้วนแต่ ต่างชาติเป็นผู้บัญญัติ เพื่อให้เกิด การไว้ใจ และ สามารถส่งออกได้ แต่อยากจะถามว่า กี่ เปอร์เซนต์ ที่ สามารถทำได้แบบนั้น ในเมื่องโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทย มีมากมาย ก่ายกอง ได้มาตรฐานมั่ง ไม่ได้มาตรฐานมั่ง แล้ว ใครจะสามารถสอดส่องดูได้ทั่วถึง
2. การตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีน้อยมากกกกก เพราะผู้ตรวจสอบ มีคุณสมบัติที่ต่างชาติยอมรับ น้อยมาก รวมทั้งกฎหมายของเราก็ไม่เข้มแข็ง แล้วจะหา หน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือ มาจากไหน... ใช้มาตรฐานข้อไหน ให้ทุกประเทศยอมรับ
3. การยอมรับ การเข้ามาตรวจสอบ ไม่ได้กระทำอย่างสม่ำเสมอ และ บางที่ก็ทำแบบ ขอไปที เพื่อให้ ผ่านไปวันๆ ไม่ได้มีจิตสำนึกจริงจัง ที่จะปฏิบัติ ตลอดเวลา... เรื่องนี้ ต้องโทษ สามัญสำนึก และ การปลูกฝัง ของคนของเรา รวมทั้งเรื่องของการศึกษาตั้งแต่ขั้นพื้นฐานไปเลย...
4. ระบบการทำงานของรัฐ ล่าช้า มาตรการการลงโทษ รวมทั้ง เรื่องของการติดต่อ ล้วนแล้วแต่ มีเรื่องของ สินน้ำใจ เข้ามาเกี่ยวข้อง หากเงินถึง ปัญหา ก็ถูกละเลย หรือ มองข้ามไป
5. ระบบของการติดตาม หรือการทบทวน ไม่มีเลยในระบบการทำงานของประเทศไทย เรียกได้ว่า เจ็บแล้วไม่เคยจำ หรือ เมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างก็คลี่คลาย....
เฮ้อ เหนื่อยใจ อย่างยิ่ง...ในปัญหาระดับชาติ ซึ่ง มดตัวน้อยตัวนิด อย่างเรา ได้ลงมือทำแล้วทีละนิดละน้อย แต่คิดว่า ไม่น่าจะทันการณ์ อีกไม่กี่ปี หากเราไม่ได้ทำ หรือทำแล้วแต่ไม่ต่อเนื่อง ก็คงจะไม่ส่งผลอย่างไร แต่ก็ยังดีใจที่ได้ทำแล้ว ดีกว่า นั่งเฉยๆ แล้ว เอาแต่พูดๆๆๆๆๆๆๆ หรือ เอาแต่ มาส่งเสียงรำคาญใจ ให้หมดกำลังใจในการทำงานอนุรักษ์...
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
~~~ หากเราหยุดนิ่ง ทุกอย่างที่ผ่านมา คือ อดีต.... ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อมันจะได้เป็นอดีตที่มีค่าแก่ ความทรงจำของเรา ~~~
|
|
|
|