สายน้ำ
|
|
« เมื่อ: สิงหาคม 29, 2007, 05:40:59 AM » |
|
"ตรินิแดด"ฮือ "ภูเขาไฟใต้ทะเล"โผล่
ค่อยๆ โผล่ขึ้นมา...โผล่ขึ้นมาจากใต้ทะเล
ที่นอกชายฝั่งทะเลทางตะวันออกของประเทศตรินิแดดประมาณ 8 กิโลเมตร มี "ภูเขาไฟโคลน" ที่ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ โดย "ภูเขาไฟโคลน" แห่งนี้เป็นที่สังเกตของนักจับปลาด้วยฉมวกตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
หลังจากที่ข่าวแพร่ถึง "ภูเขาไฟโคลน" ทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้าไปชมอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
แกรมห์ สกอต นักจับปลาด้วยฉมวกคนแรกที่เห็น กล่าวว่า เขาและเพื่อนชอบมาจับปลาแถวนี้ ตอนที่เห็นครั้งแรก "ภูเขาไฟโคลน" มีความสูงเพียง 5 ฟุตเท่านั้น ส่วนโคลนก็นุ่มและเนียนมาก
เวลาผ่านไปเพียง 3 เดือน "ภูเขาไฟโคลน" สูงขึ้นเป็น 12 เมตร มีฐานกว้าง 149 เมตร น้ำทะเลในบริเวณนั้นเริ่มเชี่ยวกราก จนสำนักงานป้องกันภัยพิบัติเตือนเรือไม่ให้เข้าไปใกล้
ขณะที่นักท่องเที่ยวใจกล้า ไม่กลัวตาย ขอนั่งเรือไปส่องใกล้ๆ ส่วนพวกที่รักตัวกลัวตาย ขอดูไกลหน่อยก็ได้ ไม่เป็นไร
ด้านนักวิทยาศาสตร์ เตือนชาวบ้านแถวนั้นว่า อย่าไปกลัว "ภูเขาไฟโคลน" เกินเหตุ เพราะมันแตกต่างไปจากภูเขาไฟทั่วๆ ไป
โดย "ภูเขาไฟทั่วไป" นั้นมีการระเบิด มีก๊าซความร้อนสูงพุ่งขึ้นมาบนโลก มีลาวา มีแม็กม่า ส่วน "ภูเขาไฟโคลน" มีก๊าซธรรมชาติ ส่วนใหญ่เป็นก๊าซมีเธน มีความร้อนและพลังงานออกมาน้อย
นักวิทยาศาสตร์ยังย้ำว่า "ภูเขาไฟโคลน" ไม่เป็นอันตรายต่อประชาชนที่อยู่บนฝั่ง และเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปกติในพื้นที่แถบประเทศตรินิแดดและโตเบโก ซึ่งเป็นประเทศที่ส่งออกก๊าซธรรมชาติมากเป็นลำดับ 5 ของโลก
อย่างไรก็ตาม เมื่อปี 2540 "ภูเขาไฟโคลน" ระเบิดขึ้นที่หมู่บ้านปิเปโร โคลนได้ฝังรถยนต์และบ้านเป็นพื้นที่ประมาณ 1 ตารางไมล์ จากนั้นโคลนได้แห้งอย่างรวดเร็วเหมือนคอนกรีต โชคดีที่ไม่มีผู้ใดเสียชีวิต และระหว่างพ.ศ. 2507-2544 มีเกาะเล็กเกาะน้อยที่เกิดจาก "ภูเขาไฟโคลน" นอกชายฝั่งตรินิแดดเกิดขึ้นหลายเกาะ
ส่วน "ภูเขาไฟโคลน" ที่กำลังผลุบๆ โผล่ๆ อยู่นี้ นักวิทยาศาสตร์คาดว่า มันอาจจะขึ้นไม่พ้นพื้นผิวน้ำ เนื่องจากคลื่นได้ซัดโคลนด้านบนออกไปตลอดเวลา
จาก : ข่าวสด คอลัมน์หมุนก่อนโลก วันที่ 20 สิงหาคม 2550
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 03, 2007, 12:41:47 AM โดย สายน้ำ »
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: สิงหาคม 29, 2007, 05:43:00 AM » |
|
หลายลูก อยู่ติดไทย ภัยภูเขาไฟ ใกล้ตัว กว่าที่คิด !! ภูเขาไฟ ภัยพิบัติที่ใกล้ตัวเรากว่าที่คิด ...เป็นชื่องานเสวนาที่จัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ในโอกาสที่ เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ชาแนล ช่องสารคดีระดับโลก นำสารคดีชุด Doomsday Volcano สารคดีการสำรวจสืบสวนหาข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ ภูเขาไฟระเบิด บนเกาะซานฌโตรินี่หรือชื่อเดิมว่าเธร่าในประเทศกรีซ ซึ่งเป็นการระเบิดที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ มานำเสนอ... แม้ว่าในประเทศไทยจะไม่มีภูเขาไฟที่สามารถปะทุได้ แต่ประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่รอบ ๆ มีภูเขาไฟที่พร้อมปะทุขึ้นมาและสร้างความเสียหายมายังประเทศไทยได้ ...เป็นการระบุของ ฤทธิชาติ ศิลารักษ์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาดและจัดจำหน่าย เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ชาแนล เอเชีย ซึ่งนี่มิได้เกินเลยจากความจริง
แผ่นดินไหว-สึนามิ การเกิดเกี่ยวข้องกับ ภูเขาไฟ ภูเขาไฟ เกิดจากหินหนืดที่อยู่ใต้เปลือกโลกถูกแรงดันอัดให้แทรกรอยแตกขึ้นสู่ผิวโลก โดยมีแรงปะทุหรือแรงระเบิดเกิดขึ้น สิ่งที่พุ่งออกมาจากปล่องภูเขาไฟเมื่อเกิดระเบิดก็คือ หินหนืด ไอน้ำ ฝุ่นละออง เศษหิน แก๊สต่าง ๆ โดยหินหนืดถ้าพุ่งออกมาบนพื้นผิวโลกเรียกว่า ลาวา แต่ถ้ายังอยู่ใต้ผิวโลกเรียกว่า แมกมา บริเวณที่มีโอกาสเกิดภูเขาไฟคือแนวรอยต่อของเปลือกโลก เป็นบริเวณที่มีโอกาสเกิดภูเขาไฟได้มากที่สุด โดยเฉพาะบริเวณที่มีการมุดตัวของแผ่นเปลือกโลกใต้พื้นมหาสมุทรลงไปสู่บริเวณใต้เปลือกโลกที่เป็นส่วนของทวีป เพราะแผ่นเปลือกโลกที่มุดตัวลงไปจะถูกหลอมกลายเป็นหินหนืด และสามารถแทรกตัวขึ้นมาบริเวณผิวโลกได้ง่ายกว่าบริเวณอื่น ส่วนบริเวณที่อยู่ห่างจากรอยต่อระหว่างเปลือกโลกก็อาจเกิดภูเขาไฟได้เช่นกัน ซึ่งเกิดขึ้นได้โดยกระบวนการที่หินหนืดถูกดันขึ้นมาตามรอยแยกในชั้นหิน ในไทยก็มีภูเขาไฟ 8 แห่ง แต่ดับสนิทหมดแล้ว มีอายุราว 7 แสนปี โดยอยู่ที่ จ.บุรีรัมย์ 6 ประกอบด้วย... ภูเขาไฟหินพนมรุ้ง ที่เขาพนมรุ้ง ต.ตาเป๊ก อ.เฉลิมพระเกียรติ, ภูเขาไฟอังคาร ที่ภูพระอังคาร ต.เจริญสุข อ.เฉลิมพระเกียรติ, ภูเขาไฟกระโดง ที่เขากระโดน ต.เสม็ด อ.เมือง, ภูเขาไฟหินหลุบ, ภูเขาไฟไบรบัด, ภูเขาไฟคอก และอยู่ที่ จ.ลำปางอีก 2 คือ ภูเขาไฟดอยผาคอกจำปาแดด และ ภูเขาไฟดอยหินคอกผาฟู ทั้งนี้ ลักษณะของภูเขาไฟมีอยู่ 4 ประเภท ได้แก่... ภูเขาไฟแบบกรวยสูง เกิดจากการทับถมของลาวาที่เป็นกรด มีความข้นและเหนียวจึงไหลและเคลื่อนตัวช้าแต่แข็งตัวเร็ว ทำให้ไหล่เขาชันมาก ภูเขาไฟแบบนี้ถ้าเกิดการระเบิดจะรุนแรง, ภูเขาไฟแบบโล่ เกิดจากลาวาที่มีความเป็นเบส ลาวามีลักษณะเหลว ไหลได้เร็วและแข็งตัวช้า การระเบิดไม่รุนแรง, ภูเขาไฟแบบกรวยกรวด เป็นกรวยสูงขึ้น ฐานแคบ เป็นภูเขาไฟที่มีการระเบิดรุนแรงที่สุด, ภูเขาไฟแบบสลับชั้น กรวยของภูเขาไฟมีหลายชั้น มีปล่องและแอ่งปากปล่องขนาดใหญ่ การระเบิดของภูเขาไฟก็มีประโยชน์อยู่บ้าง อาทิ ทำให้แผ่นดินขยายกว้างขึ้นหรือสูงขึ้น เกิดเกาะใหม่หลังเกิดการปะทุใต้ทะเล ดินที่เกิดจากภูเขาไฟระเบิดจะอุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ เป็นแหล่งเกิดน้ำพุร้อน แต่โทษภัยที่จะมีต่อชีวิตและทรัพย์สินที่อยู่ใกล้เคียงนั้น มันร้าย แรงจนคนทั่วไปไม่ค่อยคิดถึงประโยชน์ของภูเขาไฟระเบิด โดยนอกจากธารลาวาแล้ว หลังการระเบิดของภูเขาไฟจะมี เขม่าควันและก๊าซพิษ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต นอกจากนั้นยังทำให้เกิด แผ่นดินไหว และต่อเนื่องถึง สึนามิ ได้ด้วย วรวุฒิ ตันติวนิช ที่ปรึกษาการบริหารจัดการทรัพยากรธรณี ระบุว่า... การเกิดระเบิดของภูเขาไฟนั้นสิ่งที่ทำให้ผู้คนเสียชีวิตมากที่สุดไม่ใช่ลาวา แต่เป็น ไพโรคลาสติก ซึ่งประกอบด้วยเศษหินร้อน พุ่งขึ้นบนอากาศ เกิดฝุ่นหนาปกคลุมพื้นที่ ทำให้คนขาดอากาศหายใจและเสียชีวิต ปัจจุบันถึงไทยจะไม่มีภูเขาไฟให้ระเบิด แต่บริเวณรอบ ๆ ที่เป็นประเทศเพื่อนบ้านของไทยนั้นยังมีภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นใน อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, อินเดีย เพราะอยู่บนรอยต่อของเปลือกโลกที่จะมีการเคลื่อนตัวตลอด ภูเขาไฟที่น่าเป็นห่วงที่สุดตอนนี้ก็คือ ภูเขาไฟ Barren Island ที่อินเดีย ที่อยู่ในทะเลอันดามัน เพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดการปะทุมากที่สุด และถ้าเกิดขึ้นไทยก็จะได้รับผลกระทบด้วยอย่างแน่นอน ดังนั้นการเตรียมตัวรับมือไว้ก่อนจึงดีที่สุด เพราะเราไม่สามารถยับยั้งไม่ให้เกิดภัยพิบัติได้ แต่เราสามารถเรียนรู้ถึงวิธีการรับมือกับภัยพิบัติต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ ...ผู้เชี่ยวชาญรายนี้กล่าว สอดคล้องกับ ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานอำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ที่บอกว่า... ภูเขาไฟที่อยู่ใต้ทะเลอาจจะเกิดปะทุขึ้นได้ทุกนาที เพราะพลังงานที่อยู่ใต้เปลือกโลกยังมีอยู่ ยังถูกปล่อยออกมาจากใต้เปลือกโลก ซึ่งถ้าเกิดการระเบิดของภูเขาไฟในประเทศเพื่อนบ้าน ก็จะก่อให้เกิดผลกระทบกับประเทศไทยแน่ ถ้ามีการระเบิดขึ้นแล้วตามมาด้วยแผ่นดินไหวเกินกว่า 7 ริคเตอร์ อาจจะทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิในไทยได้
การระเบิดของภูเขาไฟ การเกิดแผ่นดินไหว จึงเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาเรียนรู้และทำความเข้าใจให้มากขึ้น รัฐบาลต้องสร้างระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพสูงให้กับประชาชน เพราะถึงไม่สามารถหยุดยั้งภัยพิบัติได้ แต่ก็จะสามารถช่วยชีวิตและทรัพย์สินได้มาก ...ดร.สมิทธระบุ ในอดีตไทยเฉย ๆ กับ แผ่นดินไหว แต่ยุคนี้ต้องกลัว ในอดีตไทยไม่เคยกลัว สึนามิ แต่เดี๋ยวนี้ถึงขั้นผวา และกับ ภัยภูเขาไฟ ไทยไม่กลัว...ไม่ได้แล้ว !!!!!.
จาก : เดลินิวส์ วันที่ 24 สิงหาคม 2550
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: สิงหาคม 29, 2007, 05:51:41 AM » |
|
บาร์เรน-กรากะตัวภูเขาไฟใกล้ไทยกำลังตื่น! หลังจากเกิดแผ่นดินไหวครั้งประวัติศาสตร์ที่เขย่าโลกใบนี้ด้วยความรุนแรงขนาด 9.3 ริกเตอร์ และก่อให้เกิดคลื่นสึนามิคร่าชีวิตผู้คนไปนับแสน เมื่อเช้าวันที่ 26 ธันวาคม2547
อาจไม่ใช่ภัยธรรมชาติร้ายแรงที่สุดที่มนุษย์โลกต้องเผชิญ...หากเป็นสัญญาณเริ่มต้นที่นำไปสู่หายนะของโลกครั้งใหม่ที่ยากเกินจะคาดเดา!
นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกตั้งข้อสังเกตว่าหลังแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ผ่านมา อาจมีส่วนทำให้การเกิดแผ่นดินไหวทั่วโลกมีความถี่เพิ่มขึ้น ขณะที่ใต้พิภพยังคุกรุ่นไปด้วยธารหินหนืดหลอมละลายจากแผ่นเปลือกโลกที่มุดลงใต้เปลือกโลก อาจจะพร้อมใจกันปลดปล่อยพลังงานความร้อนที่รุนแรงกว่าระเบิดนิวเคลียร์หลายพันเท่าออกมาตามปล่องภูเขาไฟที่เคยหลับไหลมาหลายร้อยปีได้
สแตนกูสบี ผู้เชี่ยวชาญแผ่นดินไหวและสึนามิจากศูนย์ Pacifle Disaster Warning Center (PDC) ประเทศสหรัฐอเมริกาเชื่อว่าการเกิดแผ่นดินไหวที่มีความถี่สูงมากเช่นปัจจุบัน เป็นอาการปกติของการปะทุของภูเขาไฟ โดยเฉพาะภูเขาไฟที่ใกล้กับจุดที่เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม2547
ผู้เชี่ยวชาญแผ่นดินไหวและสึนามิฯหมายถึงภูเขาไฟที่ตั้งอยู่บนเกาะบาร์เรนนั่นเอง ซึ่งกำลังปลดปล่อยธารลาวาและควันพิษที่เกิดจากเศษหินหลอมละลายพวยพุ่งอยู่กลางทะเลอันดามัน หากรอบๆ ภูเขาไฟใต้น้ำลูกนี้มีตะกอนสะสมอยู่เป็นปริมาณมาก การระเบิดของภูเขาไฟอย่างรุนแรงหรือเกิดแผ่นดินไหว อาจทำให้ตะกอนปริมาณมหาศาลเหล่านี้พังทลายลงอย่างรวดเร็วและก่อให้เกิดคลื่นสึนามิได้
เฉกเช่นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี2541 เมื่อแผ่นดินไหวขนาด6.8 ริคเตอร์ทำให้เกิดแผ่นดินถล่มใต้ทะเลทางตอนเหนือของเกาะปาปัวนิวกินี เกิดคลื่นสึนามิสูง 7-10 เมตรซัดถล่มชายฝั่งทำให้ชาวปาปัวนิวกีนีเสียชีวิตเกือบ 3,000 คน
ส่วน"บาร์เรน" เป็น1 ใน 3 ของภูเขาไฟที่หน่วยงานเกี่ยวกับการป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติของไทยกำลังจับตาดูอยู่ ได้แก่ภูเขาไฟบาร์เรน ภูเขาไฟกรากะตัว ประเทศอินโดนีเซีย และภูเขาไฟที่ตั้งอยู่บริเวณแหลมญวน เพราะภูเขาไฟระเบิดแต่ละครั้งความรุนแรงไม่ได้อยู่ที่ธารลาวาร้อน (แมกม่า) หรือหินเดือดหลอมละลายใต้พิภพ แต่อาจเป็นอันตรายจากควันพิษ (ไพโรคลาสติก) หรือคลื่นสึนามิก็ได้
สัญลักษณ์รูปสามเหลี่ยมสีเหลือง2 จุดบนแผนที่เหนือเกาะนิโคบาร์แทนที่ตั้งภูเขาไฟบนเกาะบาร์เรน ปรากฏอยู่บนโปรแกรมเพาเวอร์พอยต์ของ "วรวุฒิ ตันติวนิช" ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่ปรึกษาทางการบริหารจัดการทรัพยากรธรณี กรมทรัพยากรธรณี ซึ่งระบุว่าภูเขาไฟลูกนี้เคยระเบิดมาแล้วเมื่อครั้งอดีต แต่เป็นภูเขาไฟขนาดเล็กไม่ค่อยมีความสำคัญในสายตาของนักวิทยาศาสตร์โลก แต่บังเอิญว่าเป็นภูเขาไฟที่อยู่ใกล้ประเทศไทย
วรวุฒิอธิบายว่า ภูเขาไฟบนเกาะบาร์เรนตั้งอยู่กลางทะเลอันดามัน อยู่ห่างจากหมู่เกาะนิโคบาร์ ประเทศอินโดนีเซีย ไปทางทิศตะวันออก มีประวัติการปะทุและระเบิดของภูเขาไฟลูกนี้เป็นระยะๆ แต่ไม่รุนแรง ล่าสุดปี 2538 มีรายงานการปะทุและมีรายงานการพ่นลาวาออกมา
อย่างไรก็ตามวรวุฒิ บอกว่า บนเกาะบาร์เรนไม่มีคนอยู่อาศัย จึงไม่ค่อยมีข้อมูลเกี่ยวกับการระเบิดมากเท่าไรนัก แต่ภูเขาไฟลูกนี้ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการอำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กังวลว่าหากเกิดการระเบิดอาจจะเกิดสึนามิ ซึ่งประเทศไทยอาจได้รับผลกระทบจากภูเขาไฟลูกนี้ เพราะอยู่ใกล้ประเทศไทยมากกว่าภูเขาไฟลูกอื่นๆ
"โดยส่วนตัวผมมองว่าภูเขาไฟลูกนี้ อาจจะระเบิดไม่รุนแรงเหมือนภูเขาไฟกรากะตัว ประเทศอินโดนีเซีย ที่มีความสูงใหญ่และมีพลังมากจนยอดปล่องพังทลายลงมาเมื่อครั้งระเบิดใหญ่ปี 2426 มีผู้เสียชีวิตนับหมื่นคน และเกิดคลื่นสึนามิ ปัจจุบันภูเขาไฟกรากะตัวกำลังฟอร์มตัวขึ้นอีกครั้ง จากการพ่นหมอกควันที่ประกอบด้วยหินขึ้นมาปกคลุมปากปล่องจนมีขนาดเกือบเท่าของเดิมแล้ว และอาจจะระเบิดรุนแรงอีกครั้งก็ได้"
ทั้งนี้ภูเขาไฟกรากะตัว ตั้งอยู่บนเกาะชื่อเดียวภูเขาไฟอยู่ระหว่างเกาะสุมาตรากับเกาะชวา เคยเกิดระเบิดเล็กๆน้อยๆ หลายครั้ง แต่เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ในปี2224 และอีก200 ปีต่อมา วันที่ 20 พฤษภาคม 2426 ก็เกิดระเบิดเสียงดังกึกก้อง ปล่อยเถ้าถ่านควันไฟออกมาต่อเนื่องจนถึงวันที่ 26 สิงหาคมปีเดียวกันเกิดระเบิดรุนแรงอีกครั้งจนถึงรุ่งเช้าของอีกวัน
...เสียงกัมปนาทจากปล่องภูเขาไฟดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้ยอดปล่องภูเขาไฟพังทลายลงมา ธารลาวาสีแดงเพลิงไหลท่วมหมู่บ้าน 163 แห่ง มีผู้เสียชีวิตราวๆ 36,000 คน
"หากภูเขาไฟที่เกาะบาร์เรนระเบิดรุนแรงจนทำให้ภูเขาไฟถล่ม และมีบางส่วนพังทลายลงมาอาจทำให้เกิดคลื่นสึนามิสูง 1-2 เมตรเกิดขึ้นที่ชายฝั่งไทย แม้ว่าคลื่นจะดูไม่สูงมาก แต่อาจสร้างความเสียหายได้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเฝ้าระวังการระเบิดของภูเขาไฟลูกนี้อยู่" วรวุฒิบอก
อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2550 มีรายงานการปะทุและระเบิดของภูเขาไฟบนเกาะบาร์เรนที่อยู่ห่างจากเกาะนิโคบาร์ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 135 กิโลเมตร ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านภูเขาไฟระเบิดจากประเทศอินเดีย ลงไปสำรวจร่องรอยการระเบิดครั้งใหม่ในรอบ 10 ปี เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ที่ผ่านมา พบลาวาและหินระเบิดพุ่งออกมาอย่างรุนแรงจากปล่องภูเขาไฟ มีอุณหภูมิตั้งแต่ 900 ถึงมากกว่า 1,200 องศาเซลเซียส พร้อมด้วยฝุ่นหินของลาวาที่ร้อนแรงพุ่งออกมาจากปล่องสูงถึง 100 เมตร นานกว่า 15-30 วินาที หมอกควันที่ระเบิดออกมา มีรูปร่างคล้ายดอกเห็ดใหญ่ๆ ที่มีทิศทางพุ่งไปทางเหนือ
นอกจากนี้วรวุฒิ ยังระบุถึง ภูเขาไฟอีกลูกที่อาจก่อให้เกิดคลื่นสึนามิชายฝั่งอ่าวไทย นั่นคือ ภูเขาไฟที่ตั้งอยู่ตรงบริเวณปลายแหลมญวน หากระเบิดขึ้นมาอาจทำให้เกิดคลื่นสึนามิได้ แต่ตอนนี้ยังสบายใจได้ เพราะภูเขาไฟลูกนี้ยังสงบเงียบอยู่ แต่ขณะเดียวกันภูเขาไฟกรากะตัวที่ยังคุกรุ่นอยู่ด้วย ยังเป็นสิ่งที่น่ากังวล เพราะหากภูเขาไฟลูกนี้ระเบิดอีกครั้งอาจทำให้เกิดสึนามิได้เช่นกัน
"ภูเขาไฟใต้ทะเลอาจมีการปลดปล่อยพลังงานออกมาตลอดเวลา และอาจทำให้เกิดคลื่นสึนามิได้ ขณะที่ภูเขาไฟรอบๆ ประเทศไทยก็ปล่อยเถ้าถ่านที่เป็นพิษปกคลุมพื้นที่ 3-4 จังหวัดภาคใต้ของไทย"ดร.สมิทธธรรมสโรช ประธานกรรมการอำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ย้ำถึงภัยพิบัติจากภูเขาไฟระเบิด
แม้ว่าภูเขาไฟของไทยทั้ง8 แห่งจะดับสนิทหมดแล้ว แต่ปัจจุบันทั่วโลกกำลังเผชิญหน้ากับภูเขาไฟที่อาจระเบิดได้ในทุกนาที รวมถึงภูเขาไฟใต้ท้องทะเลที่อยู่โดยรอบประเทศไทยด้วย
ดร.สมิทธ เล่าให้ฟังว่า มีนักสำรวจทะเลชาวรัสเซียให้ข้อมูลการค้นพบภูเขาดินหลายลูกใต้ทะเลแถวๆบังกลาเทศ มีขนาดเล็กและใหญ่ต่างกัน เกิดจากการตกตะกอนของแม่น้ำ อยู่ห่างจากประเทศไทย 340 กิโลเมตร พวกเขาเตือนว่าหากภูเขาดินเหล่านี้ถล่มอาจเกิดคลื่นสึนามิโดยไม่รู้ตัว แล้วเราจะป้องกันตัวเองได้อย่างไร
"ศูนย์เตือนภัยได้ของบประมาณปีนี้กว่า 100 ล้านบาทเพื่อซื้อทุ่นตรวจวัดการเกิดคลื่นสึนามิเพิ่มอีก 2 ทุ่น เมื่อเกิดคลื่นสึนามิจะได้เตือนทัน แม้ว่าการติดตั้งทุนจะเตือนภัยล่วงหน้าเพียงแค่ 30 นาทีก็ยังดีกว่าไม่มีการเตือนภัยใดๆ" ดร.สมิทธ กล่าวทิ้งท้าย
----------------
ภาพการระเบิดของภูเขาไฟบนเกาะเธราหรือซานโตนีประเทศกรีก เมื่อราว 1,600 ปีก่อนคริสตกาล ถูกนำเสนอผ่านทรูวิชั่นส์-ยูบีซีช่อง 45 เมื่อค่ำวันหนึ่งกลางเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา ทีมสำรวจของเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ใช้เรือดำน้ำ ขนาด 2 ตัน ลงไปเก็บตัวอย่างซากหินและเศษตะกอนภูเขาไฟที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 3,600 ปีก่อน เพื่อค้นหาปริศนาของภูเขาไฟระเบิดครั้งประวัติศาสตร์ ที่มีความรุนแรงกว่าการระเบิดของภูเขาไฟกรากะตัวหลายร้อยเท่านัก
ทั้งนี้แรงระเบิดจากภูเขาไฟบนเกาะซานโตนี มีความรุนแรงมากจนทำให้ปล่องภูเขาไฟแตกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้ภูเขาไฟขนาดมหึมาจมสู่ก้นทะเลลึก และก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สูงร่วม 30 เมตรซัดถล่มเกาะครีทซึ่งอยู่ห่างออกไปร่วม 100 กิโลเมตร จนทำให้อาณาจักรไมนวลที่เคยเจริญรุ่งเรืองที่สุดในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนต้องสิ้นสุดลง
เมื่อย้อนกลับมาสู่ยุคปัจจุบันที่มนุษย์กำลังหาวิธีรับมือกับภัยธรรมชาติทุกรูปแบบที่กำลังถาโถมเข้ามาในศตวรรษนี้ และเริ่มมีข่าวลือหนาหูถึงเรื่องคำทำนายวันสิ้นโลก ท่ามกลางสถานการณ์แผ่นดินไหวถี่และรุนแรงขึ้น โดยมีความสัมพันธ์กับการเกิดภูเขาไฟระเบิด อาจกลายเป็นภัยพิบัติอีกชนิดที่สั่นคลอนชีวิตมนุษย์ได้
ภูเขาหินยักษ์ที่อัดแน่นไปด้วยแมกม่าจากหินหลอมละลายใต้พิภพเกือบ200 แห่งทั่วโลกอาจกำลังถูกปลุกด้วยการขยับตัวของแผ่นเปลือกโลก ฤา...ใกล้ถึงวงรอบการระเบิดของภูเขาไฟครั้งประวัติศาสตร์ที่จะย้อนมากลืนอารยธรรมของมนุษย์อีกครั้ง!
ทีมข่าวรายงานพิเศษ: เรื่อง
เนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก-อินเทอร์เน็ต: ภาพ
-------------------
Sidebar 1
ภูเขาไฟในไทย
ประเทศไทยเคยมีภูเขาไฟที่ปะทุและเกิดการระเบิดมาแล้ว8 แห่ง อยู่ที่ จ.บุรีรัมย์ 6 แห่ง ได้แก่ ภูเขาไฟหินพนมรุ้ง ที่ตั้งของปราสาทหินพนมรุ้ง ภูเขาไฟอังคาร ภูเขาไฟหินหลุบ ภูเขาไฟกระโดง ภูเขาไฟไบรบัด และภูเขาไฟคอก ส่วนอีก 2 แห่ง ตั้งอยู่ที่ จ.ลำปาง ได้แก่ ภูเขาไฟดอยผาดอกจำปาแดด และภูเขาไฟดอยหินคอกผาฟู โดยภูเขาไฟทั้งหมดดับสนิทหมดแล้ว
โดยภูเขาไฟลูกสุดท้ายของไทยสิ้นฤทธิ์ไปเมื่อ7 แสนปีก่อน!?!
ผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาบอกว่า การระเบิดของภูเขาไฟในไทยทั้ง 8 แห่งนั้น ไม่มีความรุนแรง เพราะลาวาชนิดบะซอลต์ มีส่วนประกอบของเหล็กและแมงกานีส ซึ่งมีความหนืดต่ำ ไหลง่าย เหมือนลาวาภูเขาไฟที่ฮาวาย แตกต่างจากภูเขาไฟที่อินโดนีเซียหรือกรีซ ซึ่งลาวาจะเป็นหินหนืดไหลช้า จะไปกีดขวางทางไหลของลาวาและมีการสะสมแรงดันเอาไว้ ทำให้มีการปะทุและระเบิดที่รุนแรงนั่นเอง
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ผู้คนเสียชีวิตจากภัยภูเขาไฟระเบิดไม่ใช่ ลาวา แต่เป็นผ้าห่มแห่งหมอกควันพิษที่เรียกว่า "ไพโรคลาสติก" ที่ประกอบด้วยควันพิษและเศษหินร้อนเคลื่อนที่เร็วไหลลงมาถล่มทับหมู่บ้านเบื้องล่าง อย่างที่เคยเกิดขึ้นที่"เมืองปอมเปอี" คราวที่ภูเขาไฟวิสุเวียสระเบิดเมื่อปี 622
-----------------
Sidebar 2
บันทึก...ปฐพีเดือดครั้งสำคัญ
- ปี622 ภูเขาไฟวิสุเวียส ประเทศอิตาลี มีผู้เสียชีวิตราว16,000 คน
- ปี1712 ภูเขาไฟเอ็ตนาเกาะซิซิลี ประเทศอิตาลี มีผู้เสียชวิตราว15,000 คน
- ปี2174 ภูเขาไฟวิสุเวียสประเทศอิตาลี มีผู้เสียชีวิตราว 4,000 คน
- ปี2212 ภูเขาไฟเอ็ตนาเกาะซิซิลี ประเทศอิตาลี มีผู้เสียชีวิตราว 20,000 คน
- ปี2315 ภูเขาไฟปาปันดายัง ประเทศอินโดนีเซีย มีผู้เสียชีวิตราว 3,000 คน
- ปี2335 ภูเขาไฟอุนเซ็นดาเกะ ประเทศญี่ปุ่น มีผู้เสีนชีวิตราว10,400 คน
- ปี2358 ภูเขาไฟแทมโบโลประเทศอินโดนีเซีย มีผู้เสียชีวิตราว12,000 คน และยังทำให้ปี2359 ไม่มีฤดูร้อนอีกด้วย
- วันที่26-28 สิงหาคม2426 ภูเขาไฟกรากะตัว ประเทศอินโดนีเซีย มีผู้เสียชีวิตราว 36,000 คน
- วันที่8 เมษาย 2445 ภูเขาไฟซานตามาเรียประเทศกัวเตมาลา มีผู้เสียชีวิตราว 1,000 คน
- วันที่8 พฤษภาคม 2445 ภูเขาไฟปิเล เกาะมาร์ตินีกมีผู้เสียชีวิตราว 10,000 คน
จาก : คม ชัด ลึก วันที่ 28 สิงหาคม 2550
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #6 เมื่อ: กันยายน 03, 2007, 12:19:28 AM » |
|
หินสบู่ต้านดินไหว
ไม่น่าเชื่อว่า แร่ทัลก์ หรือ แร่หินสบู่ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำเซรามิก และเป็นแร่ที่มีความนุ่มมากที่สุดในบรรดาแร่ทั้งหมด คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้แถบ ซาน อันเดรียส ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีแนวแยกของเปลือกโลก และพร้อมจะเกิดแผ่นดินไหวได้ทุกเมื่อ รอดพ้นจากการเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงได้
ดร.คริสโตเฟอร์ วิบเบอร์ลีย์ มหาวิทยาลัยนีซ โซเฟีย ในฝรั่งเศส พบว่าปริมาณแร่ทัลก์ที่อยู่ลึกลงไปใต้ดินราว 3 กิโลเมตร ช่วยลดการเสียดสีระหว่างแนวแยกของเปลือกโลก
"คุณสมบัติของแร่ทัลก์ ช่วยทำให้การเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกเป็นไปอย่างช้าๆ และมั่นคง ยับยั้งการก่อตัวของพลังงาน ทำให้ไม่เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง" ดร.คริสโตเฟอร์กล่าว
จาก : ข่าวสด วันที่ 3 กันยายน 2550
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
|
Sea Man
|
|
« ตอบ #9 เมื่อ: กันยายน 03, 2007, 01:03:41 PM » |
|
......อยากเห็นจัง....อิอิอิอิ.......
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
.....รู้จักคิด....ฟังความคิดผู้อื่น....พร้อมเปลี่ยนแปลง....ไปสู่สิ่งใหม่และดีกว่า.....
|
|
|
Sky
|
|
« ตอบ #10 เมื่อ: กันยายน 03, 2007, 02:55:36 PM » |
|
สำหรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นางจงกลณี อยู่สบาย ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาอุตุนิยมวิทยา กรมอุตุนิยมวิทยา ยอมรับว่า ปัจจุบันสภาพภูมิอากาศแปรปรวนมากขึ้น โดยสถิติในรอบ 30 ปี ปริมาณน้ำฝนน้อยลง แต่ปริมาณพายุรุนแรงมากขึ้น กรมอุตุนิยมวิทยาจึงตั้งศูนย์ภูมิอากาศแห่งชาติเพื่อติดตามความเปลี่ยนแปลงของอากาศ ร่องมรสุม เพื่อเตือนภัยและเฝ้าระวังแล้ว จาก : คม ชัด ลึก วันที่ 3 กันยายน 2550
คุณอาแท้ๆ ของหนูเองค่ะ....ภูมิใจ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #11 เมื่อ: กันยายน 04, 2007, 12:28:45 AM » |
|
"ฮ่องกง-มาเก๊า"เสี่ยงสึนามิ ถ้าแผ่นดินไหวที่"ฟิลิปปินส์"
ฮ่องกงและมาเก๊ามีความเสี่ยงราว 10% ที่จะถูกถล่มด้วยสึนามิในอีกร้อยปีข้างหน้า
นายหลิวยิ่งชุน จาก Graduate University of the Chinese Academy of Sciences ประเทศจีน และคณะซึ่งรวมทั้งผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐและญี่ปุ่น วิเคราะห์ความเป็นไปได้ของการเกิดสึนามิ โดยใช้คอมพิวเตอร์จำลองภาพเหตุการณ์ และพบว่าต้นเหตุของสึนามิอาจมาจากพื้นทะเลจีนใต้ที่อยู่ข้างใต้แนวร่องมะนิลา ซึ่งกั้นแผ่นเปลือกโลกทะเลฟิลิปปินส์
ถ้าแผ่นดินไหวที่ "แนวร่องมะนิลา" อาจทำให้เกิดคลื่นยักษ์ถาโถมไปยังทะเลน้ำตื้น ทำให้เมืองใหญ่หลายเมืองอาจได้รับความเสียหาย
จากการคำนวณว่า ถ้าเกิดแผ่นดินไหวความรุนแรง 7.5 ริกเตอร์ ที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฟิลิปปินส์ จะทำให้เกิดคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร และอาจสร้างความเสียหายให้กับมาเก๊า ฮ่องกง ไปจนถึงเมืองซัวเถา มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน ซึ่งความเสี่ยงของฮ่องกงและมาเก๊า เท่ากับ 10.12% ส่วนซัวเถามีความเสี่ยงอยู่ที่ 13.34%
แต่ถ้าคลื่นสูง 1-2 เมตร ความเสี่ยงของฮ่องกงและมาเก๊า จะเพิ่มเป็น 17.19% ส่วนซัวเถา ความเสี่ยงจะอยู่ที่ 30.65%
การศึกษาระบุว่า เป็นไปได้มากที่จะเกิดสึนามิในบริเวณนี้ และเรียกร้องให้ติดตั้งระบบเตือนภัยไว้ในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นและเป็นเขตเศรษฐกิจ และตั้งแต่ค.ศ. 171 เป็นต้นมาพบว่า ชายฝั่งทะเลของจีนรวมทั้งเกาะไต้หวัน ถูกสึนามิเล่นงานถึง 11 ครั้ง โดยครั้งที่หนักที่สุด คลื่นความสูง 7.5 เมตร ถล่มที่เมืองกี่หลง บนเกาะไต้หวัน เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 1867
จาก : ข่าวสด วันที่ 4 กันยายน 2550
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #12 เมื่อ: กันยายน 14, 2007, 01:10:42 AM » |
|
ศูนย์เตือนภัยย้ำระบบสมบูรณ์ 100% มีเวลา3ชั่วโมงกดสัญญาณ"สึนามิ"
ความโกลาหลจากแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว ขนาด 8.4 ริกเตอร์ รอยเลื่อนเกาะสุมาตรา เป็นบททดสอบได้ไม่น้อยกับความพร้อมของระบบเตือนภัยในประเทศไทย เพราะขณะที่ศูนย์เตือนภัยแห่งชาติยังไม่ออกประกาศเตือน ชาวบ้านอันดามันที่ล้วนผ่านบทเรียนเจ็บปวดจากคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อ 3 ปีก่อน ต่างอพยพกันขึ้นบนพื้นที่สูง
คำถามจึงมีอยู่ว่า ทำไมระหว่างนั้น ศูนย์เตือนภัยไม่ประกาศเตือน ซึ่งในเรื่องนี้ ศุภฤกษ์ ตันศรีรัตนวงศ์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา และในฐานะรักษาการผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยแห่งชาติ บอกว่า หลังเกิดแผ่นดินไหวเวลาประมาณ 18.10 น. ต้องมีการตรวจสอบตำแหน่งที่เกิดอยู่ที่ไหนก่อน และเกิดในทะเลหรือบนบก หากเกิดในทะเลต้องระวัง เพราะเป็นส่วนที่มีความสัมพันธ์กับประเทศไทย ประกอบกับความรุนแรงของการเกิดครั้งนี้ มีความรุนแรงที่ตรวจได้ตอนแรก 8.0 ริกเตอร์ ก่อนจากนั้นก็ปรับลงเป็น 7.9 ริกเตอร์ ตรงนี้ต้องดูว่าลักษณะความลึกของทะเลตรงนั้นลึกแค่ไหน หากว่าในการเกิดตรงนี้ทะเลลึกมาก ต้องระวังมาก
"การตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว สามารถทราบได้ภายใน 10 นาที เพราะมีเครื่องมือที่ทันสมัยและตำแหน่งที่เกิดในตำแหน่งนั้นยังมีเกาะอยู่ ดูในรูปสังเกตดูว่าในตำแหน่งที่เกิดจะอยู่ทางใต้ ฉะนั้นในส่วนนี้จะมีเกาะสุมาตราบังอยู่ การเคลื่อนตัวของคลื่นทางทะเลต้องกระทบชายฝั่งของเกาะ จากนั้นแผ่ไปอินเดีย ศรีลังกา มัลดีฟส์ มากกว่าก่อนจะอ้อมมาสู่ประเทศไทย ตรงนี้เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการตรวจสอบข้อมูลที่มีความแน่นอน ทั้งนี้เนื่องจากว่าการแจ้งเตือนภัย หากแจ้งผิดตรงนี้จะมีผลกระทบอย่างสูงทำให้ประชาชนเสียขวัญด้วย"
การตรวจสอบว่าเกิดคลื่นยักษ์สึนามิหรือไม่หลังเหตุการณ์ จึงเป็นภาระหน้าที่สำคัญของกรมอุตุนิยมวิทยา เพื่อจะได้แจ้งเตือนภัยอย่างถูกต้องไม่ทำให้ประชาชนขวัญเสีย ซึ่งศุภฤกษ์บอกว่า เราร่วมมือกับกรมอุตุฯ กรมอุทกศาสตร์และศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ในการตรวจเช็คตรงนี้ จะมีการรายงาน ฉะนั้นระยะแรกคงประเมินว่าในส่วนนี้จะต้องใช้เวลาว่าจะเกิดสึนามิที่แท้จริงหรือไม่ โดยการตรวจสอบกับทางต่างประเทศด้วย ช่องทางที่จะชี้ชัดว่าจะเกิดสึนามิหรือไม่ต้องใช้เวลา และเราจึงมีความแน่ใจว่าในส่วนนี้คงไม่กระทบกับประเทศไทยมากนัก ประเทศไทยอยู่ห่างจากเหตุเกิดแผ่นดินไหว 1,000 กว่ากิโล ก็ระยะทางไกลพอสมควร ซึ่งไกลกว่าสึนามิที่เกิดขึ้นครั้งที่แล้ว
"เรามีเวลาประมาณเกือบ 3 ชั่วโมงในการประเมิน ประกอบกับเรามีการตรวจวัดคลื่นที่เกาะเมียง จ.พังงา เมื่อเกิดคลื่นที่ทางทะเลแล้วเครื่องวัดตัวนี้สามารถตรวจสอบได้ และเรามีเวลาในการเตรียมอพยพ ในโอกาสแรก ก็แจ้งว่าเกิดแผ่นดินไหวและเตรียมการไว้ก่อน เพราะข้อเท็จจริง หลังจากเกิดแล้วภายใน 3 ชั่วโมง หากมีระบบเอสโอพี คือมีมาตรฐานในการทำงาน ตรวจสอบแล้วไม่มีอะไร ก็ต้องแจ้งยกเลิกว่าไม่มีสึนามิเกิดขึ้นแล้ว"
กระนั้นก็ตาม ศุภฤกษ์บอกว่า ลึกๆ แล้ว เขาก็หวั่นไม่น้อยว่าจะเกิดคลื่นยักษ์ สึนามิ หลังจากตรวจสอบข้อมูลได้เพียง 1 ชั่วโมง แต่เมื่อพบว่าลักษณะตำแหน่งที่เกิดและมีเกาะบังอยู่ ทำให้คิดว่าไม่น่าจะเกิดแน่ แต่ก็วางใจไม่ได้ เพราะได้รับรายงานว่าคลื่นที่เกิดมีความสูงเล็กน้อย ในบริเวณใกล้กันแต่อีกฝั่งหนึ่งอาจจะสูงได้ ฉะนั้นสิ่งสำคัญต้องเตรียมพร้อม ต้องเฝ้าติดตามเรื่องข้อมูลต่างๆ ให้มากสุด ประกอบกับส่วนนี้ต้องมีการจัดหาติดตั้งเครื่องมือที่มีความพร้อม หมายถึงเครื่องวัดแผ่นดินไหว โดยจะติดตั้งแล้วเสร็จปีหน้าอีก 40 ชุดรอบประเทศไทย และเรามีเครื่องตรวจวัดระดับน้ำทะเล ที่ร่วมกับกรมอุทกศาสตร์กองทัพเรือทั้งหมด 9 ชุดทางฝั่งทะเลอันดามัน
"ผมถือว่าการเตือนภัยที่เกิดขึ้นสมบูรณ์มากที่สุดใน 16 ประเทศของฝั่งทะเลอันดามัน และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรามีความพร้อมมากที่สุด ในขณะเดียวกันเราต้องให้ความรู้กับประชาชน เป็นสิ่งสำคัญ ขณะเดียวกันในหน่วยราชการต่างๆ จะต้องมีการเตรียมการในการฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่องเช่นกัน"
ศุภฤกษ์บอกอีกว่า ที่ผ่านมาเรามีการทดสอบสัญญาณหอเตือนภัยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นที่ทราบว่าหอเตือนภัยในฝั่งทะเลอันดามัน 6 จังหวัด มีการติดตั้งหอเตือนภัยทั้งหมด 79 หอ ประกอบด้วยระนอง 5 พังงา 18 ภูเก็ต 19 กระบี่ 12 ตรัง 11 สตูล 14 รวมแล้ว 79 หอ ดังนั้นจะมีการเสริมเรื่องหอเตือนภัยทางอันดามันอีก 20 หอ ทางจังหวัดกระบี่ ขณะเดียวกันเราก็วางใจทางฝั่งอ่าวไทยไม่ได้เหมือนกัน เพราะจุดที่เกิดคงเป็นฟิลิปปินส์ที่จะมีผลกระทบเรากับไต้หวัน รวมทั้งอินโดนีเซียด้วย ดังนั้นในส่วนนี้เราจะมีการวางเรื่องหอเตือนภัยอีก 48 หอ ตรงนี้ทำให้สองฝั่งทะเลเรามีความพร้อมมากที่สุด ในเรื่องการเตือนภัย แต่ยังคงจำเป็นจะต้องให้ข้อมูลกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง
+++++++++++++
นักวิชาการห่วงรอยเลื่อนสะแกงปริไหวซ้ำ : ล้อมกรอบ
นายสมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการอำนวยการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวว่า ปัญหาการเกิดแผ่นดินไหวอาจจะรุนแรงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะแนวเลื่อนใน 2 อำเภอ คือ อ.ศรีสวัสดิ์และสังขละบุรี ซึ่งไม่ทราบว่าจะเกิดในพื้นที่ใด และสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินหรือไม่ จากสถิติแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2526 วัดได้สูงสุด 5.8 ริกเตอร์ แต่ปัจจุบันมีการไหวเพิ่มขึ้นและสร้างความเสียหายเพิ่มขึ้นตามมา โดยส่วนตัวเห็นว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) น่าจะจัดงบประมาณสร้างหอเตือนภัยขึ้นในพื้นที่สร้างเขื่อน เพราะหากรองบประมาณของรัฐบาลอาจไม่ทันกาล เนื่องจากจังหวัดกาญจนบุรีเป็นพื้นที่ได้รับความนิยมด้านท่องเที่ยว
ผศ.ดร.ปัญญา จารุศิริ หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการวิจัยธรณีวิทยาแผ่นดินไหวและธรณีแปรสัณฐาน คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า กรณีที่ศูนย์เตือนพิบัติแห่งชาติไม่ออกประกาศ เตือนภัยสึนามิทันทีหลังทราบข่าวนั้น เป็นเพราะได้มีการวิเคราะห์ข้อมูลสถานการณ์จนมั่นใจแล้วว่าแผ่นดินไหวดังกล่าว จะไม่ก่อให้เกิดสึนามิมากระทบกับไทยอย่างแน่นอน และคงไม่อยากสร้างความแตกตื่นกับประชาชนและนักท่องเที่ยวในพื้นที่ 6 จังหวัดอันดามัน อย่างไรก็ตาม อยากให้ประชาชนเชื่อมั่นในศูนย์เตือนภัยของไทยมากกว่าเชื่อข้อมูลเตือนภัยจากต่างประเทศ ซึ่งค่อนข้างมีความพร้อม
แล้ว
ผศ.ดร.ปัญญา กล่าวด้วยว่า สำหรับเหตุการณ์ไหวระดับ 8.4 ริกเตอร์ใต้ทะเลครั้งนี้ น่าจะเป็นสัญญาณเตือนอีกครั้งว่าแผ่นดินไหวบริเวณรอบๆ มหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งมีจุดวงแหวนไฟอยู่โดยรอบ เช่น ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ ตะวันตกของอเมริกา ตะวันตกของอเมริกาใต้ เป็นต้น ส่วนของไทยแม้จะไม่ได้อยู่ในจุดวงแหวนไฟแบบตรงๆ แต่ก็สามารถได้รับผลกระทบได้หากมีแผ่นดินไหวขนาดรุนแรงอย่างที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุด และคงเป็นสัญญาณว่าศูนย์เตือนภัยฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำงานหนักขึ้น
ที่น่าเป็นห่วงคือการไหวระดับ 8 ริกเตอร์ครั้งนี้ อาจจะกระทบกับรอยเลื่อนใหญ่บนแผ่นดิน ซึ่งมี 2 รอย ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ คือรอยเลื่อนสุมาตรา ที่ขนานเกาะสุมาตรา และต่อกับรอยเลื่อนสะแกง ของพม่า ที่อาจจะกระทบถึงกันหมด รวมทั้งจุดอื่นๆ ที่อาจกำลังสะสมความแรงจนครบอยู่แล้ว อาจจะแตกปริออกมากลายเป็นแผ่นดินไหวได้ โดยเฉพาะรอยเลื่อนสะแกงนั้น ยังมีรอยเลื่อนแขนงต่อมายังรอยเลื่อนแม่ปิงของไทย รอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ ถ้ารอยเลื่อนสะแกงขยับ รอยเลื่อนเหล่านี้ก็จะขยับตามด้วย ซึ่งการคาดการณ์เชิงสถิติพบว่าการไหวระดับรุนแรงของรอยเลื่อนสะแกง ขยับมาเหลือ 40 ปี จากเดิมที่เคยคาดการณ์เอาไว้ว่าจะอยู่ในช่วง 70 ปีต่อครั้ง แต่จากการเก็บสถิติพบว่ามันเริ่มมีการไหวถี่มากขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นจึงควรต้องจับตาว่ามีสัญญาณอะไรหรือไม่ ต้องเฝ้าระวัง นักวิชาการระบุ
จาก : กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 14 กันยายน 2550
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: กันยายน 15, 2007, 12:48:57 AM » |
|
กรมทรัพย์สนองพระราชดำรัสสำรวจรอยเลื่อน 13 แห่ง
แผนที่รอยเลื่อนของกรมทรัพยากรธรณี
กรมทรัพยากรธรณี เร่งสำรวจรอยเลื่อนที่มีพลังในประเทศไทย 3 แห่ง และดินเหลวใน กทม.รับสนองพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงห่วงใยในเรื่องของธรณีพิบัติ และความเป็นอยู่ของประชาชน คาดใช้เวลาดำเนินการ 5 ปี คิดเป็นงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท นายทศพร นุชอนงค์ ผู้อำนวยการกองธรณีสิ่งแวดล้อมและธรณีพิบัติภัย กรมทรัพยากรธรณี เปิดเผยถึงความเป็นมาของโครงการสำรวจลอยเลื่อนมีพลังในประเทศไทย 13 แห่ง และดินเหลวในกรุงเทพมหานคร (กทม.) ว่า สืบเนื่องจากกรมทรัพยากรธรณีได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าถวายสมุดแผนที่ทรัพยากรธรณีประเทศไทย และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ทรง มีกระแสพระราชดำรัสห่วงใยในพสกนิกรไทยเกี่ยวกับเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น กรมฯ น้อมรับพระราชดำรัสเร่งดำเนินการสำรวจรอยเลื่อนมีพลังทั้ง 13 แห่ง และดินเหลวใน กทม.ที่มาของการรับรู้แรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้อยู่เสมอ เพื่อหาวิธีการ มาตรการในการรับมือ ควบคุมการก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ โครงการสำรวจนี้ตามที่วางแผนไว้จะเริ่มในปี 2550 แต่ด้วยเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้เกิดขึ้นต่อเนื่อง และวัดแรงสั่นสะเทือนได้สูงขึ้น และเป็นการสนองพระราชดำรัสในเรื่องของธรณีพิบัติและความเป็นอยู่ของประชาชน ท่านอธิบดีได้สั่งการเร่งด่วนให้ดำเนินโครงการสำรวจลอยเลื่อนมีพลังในปีนี้เป็นต้นไป จะใช้เวลาดำเนินการทั้งสิ้น 5 ปี คิดเป็นงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งจะดำเนินการสำรวจดินเหลวในเขต กทม.ก่อน โดยทำควบคู่ไปกับการสำรวจลอยเลื่อนอื่นไปด้วย นายทศพร กล่าว นายทศพร กล่าวอีกว่า ในการสำรวจและดำเนินการเกี่ยวกับมาตรการต่างๆ นั้น ได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานและผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง ทั้งในเรื่องของธรณีวิทยา วิศวกรรม สถาปัตยกรรม ฯลฯ เพื่อให้ข้อมูลที่ชัดเจน สามารถชี้แจงให้กับประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียในการกำหนดมาตรการต่างๆ ที่จะตามมาได้ ถึงความสำคัญในข้อกำหนดนั้นๆ ในพื้นที่เสี่ยงภัยทั้งหมด
จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 15 กันยายน 2550
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #14 เมื่อ: กันยายน 15, 2007, 01:10:12 AM » |
|
เตรียมประกาศจว.เสี่ยงภัยแผ่นดินไหวเพิ่ม12 จว.รวมกทม.
เตรียมประกาศจังหวัดเสี่ยงภัยแผ่นดินไหวเพิ่ม 12 จังหวัด รวม กทม. กำหนดการก่อสร้างอาคารสูงตั้งแต่ 15 เมตรขึ้นไป ต้องออกแบบโครงสร้างรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว หลังจากกรมธรณีแสดงความเป็นห่วงอาคารสูงกทม.ไม่ออกแบบรองรับ
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมการรับมือเหตุแผ่นดินไหวในพื้นที่ กทม. หลังพบรอยเลื่อนใต้ กทม. ซึ่งเกิดจากเหตุแผ่นดินไหวที่ประเทศอินโดนีเซียว่า ขณะนี้ กทม.มีการตั้งคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติ หลังจากเกิดเหตุคลื่นยักษ์สึนามิ เมื่อปี 2547 โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญ เช่น รศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย คอยให้คำปรึกษา รวมถึงเชิญผู้เกี่ยวข้องโดยเฉพาะผู้ประกอบการในพื้นที่สูงมาร่วมประชุมสัมมนา ซึ่งที่ประชุมมีการเสนอให้รวมพื้นที่ กทม.เข้าเป็นพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหว และทราบว่าขณะนี้เรื่องอยู่ที่กระทรวงมหาดไทย
นายอภิรักษ์ กล่าวว่า ขณะที่กฎกระทรวงแผ่นดินไหวยังไม่ประกาศใช้ ในส่วนของ กทม.โดยนางบรรณโศภิษฐ์ เมฆวิชัย รองผู้ว่าฯ กทม. ก็ได้จัดสัมมนาเรื่องการป้องกันภัยจากเหตุแผ่นดินไหวให้แก่ผู้ประกอบการและผู้ที่อยู่ในอาคารสูง ซึ่งเจ้าหน้าที่จากสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (สปภ.) ของ กทม. จะเข้าไปให้คำแนะนำในการป้องกันและปฏิบัติตนเมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหว อีกทั้ง กทม.ยังมีศูนย์แจ้งเตือนภัย เพื่อสื่อสารให้ประชาชนรับทราบกรณีเกิดเหตุภัยพิบัติต่างๆ ด้วย แต่หากกฎกระทรวงประกาศใช้แล้ว ก็จะรวมพื้นที่ กทม.เข้าไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหว ซึ่งจะทำให้อาคารสูงตั้งแต่ 15 เมตรขึ้นไปที่จะขออนุญาตก่อสร้างต้องออกแบบโครงสร้างให้มีระบบรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวเพิ่ม
ทั้งนี้ พื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหวในประเทศไทยที่ได้กำหนดไว้เดิม มีทั้งสิ้น 10 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน พะเยา แพร่ น่าน ลำพูน ลำปาง ตาก กาญจนบุรี และเชียงใหม่ ซึ่งกฎกระทรวงฉบับใหม่นี้ จะมีการเพิ่มพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหวอีก 12 จังหวัด แบ่งเป็นจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ 7 จังหวัด ได้แก่ กระบี่ ชุมพร พังงา ภูเก็ต ระนอง สงขลา และสุราษฎร์ธานี ส่วนอีก 5 จังหวัด ได้แก่ กทม. ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ และนครปฐม ซึ่งขณะนี้กระทรวงมหาดไทยอยู่ระหว่างออกประกาศ คาดว่าจะสามารถประกาศใช้ได้เร็วๆ นี้
กรมธรณีห่วงอาคารสูงกทม.ไม่ออกแบบรองรับแผ่นดินไหว
นายทศพร นุชอนงค์ ผู้อำนวยการกองวิทยาสิ่งแวดล้อมสิ่งแวดล้อม กรมทรัพยากรธรณี ขณะนี้ครม. ได้เห็นชอบ ตามที่กรมโยธาธิการและการผังเมือง เสนอให้เพิ่มเติมกฎกระทรวงว่าด้วยการก่อสร้าง อาคารในเขตพื้นที่ที่อาจได้รับแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของ กฤษฎีกา ที่จะต้องมีการออกแบบอาคารให้สามารถรองรับผลกระทบจากแผ่นดินไหว โดยได้แบ่งออก เป็น 3 พื้นที่ ได้แก่ โซนที่ 1 หมายถึงบริเวณที่เป็นชั้นดินอ่อนและจะได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว ระยะไกล ซึ่งประกอบด้วยกทม. นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการและสมุทรสาคร โซนที่ 2 หมายถึง บริเวณที่อยู่ใกล้แนวรอยเลื่อนในเขตภาคเหนือและภาคตะวันตกของไทย 10 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย กาญจนบุรี ลำปาง ลำพูน ตาก น่าน แพร่ พะเยา กาญจนบุรี และโซน ที่ 3 เป็นพื้นที่เฝ้าระวังในเขตภาคใต้ 7 จังหวัด คือ กระบี่ ชุมพร ภูเก็ต สุราษฎร์ พังงา ระนอง และ สงขลา อย่างไรก็ตาม กรณี 10 จังหวัดในโซนที่ 2 มีการบังคับใช้ตามกฎหมายแล้ว โดยต้องออกแบบ อาคารบ้านเรือนรองรับผลกระทบของแผ่นดินไหวที่จะสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างของอาคาร
ส่วนพื้นที่อื่นๆที่ยังไม่มีผลบังคับใช้ ก็เริ้มมีการคุยในวงการวิศวกรรมว่าจะต้องเริ่มในส่วนของอาคาร สาธารณะเช่น โรงพยาบาล โรงเรียน สะพาน เป็นมาตรการทางสังคมจนกว่ากฎกระทรวงว่าจะมีผล บังคับใช้
ดร.วรวุฒิ ตันติวานิช ที่ปรึกษาด้านบริหารจัดการทรัพยากรธรณี กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงกรณีที่นักวิชาการ จากจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ระบุว่าการเกิดแผ่นดินไหวใต้ทะเล นอกชายฝั่งเกาะสุมาตรา ขนาด 8.4 ริกเตอร์ เมื่อวัน ที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมาอาจส่งผลต่อรอยเลื่อน สุมาตรา และรอยเลื่อนสะแกงที่อยู่บนแผ่นดินให้เกิดการขยับตัวว่า ไม่เห็นด้วยกับการแปลความหมาย แบบนี้ เพราะพฤติกรรมของรอยเลื่อนแตกต่างกัน จึงไม่มีความสัมพันธ์กันได้เลย เนื่องจากรอยเลื่อนที่ ทำให้เกิดแผ่น ดินไหวเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.47 และวันที่ 12-13 ก.ย.50 เกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่น เปลือกโลกอินเดีย-ออสเตรเลีย มุดตัวใต้แผ่นเปลือกโลก ซึ่งเป็นรอยเลื่อนย้อนเพราะเคลื่อนที่แบบขึ้นลง
ขณะที่รอยเลื่อนสุมาตรา และสะแกงจะเป็นรอยเลื่อนแบบขนาน นอกจากนี้แรงส่งไม่ได้ส่งไปใน ทิศทางเดียวกันที่จะทำให้รอยเลื่อนบนบกทั้งสองรอยเกิดการเคลื่อนที่ได้ จึงไม่สามารถต่อกันได้ โดยเฉพาะแนวรอยเลื่อนสุมาตรานั้นอยู่กลางเกาะ
ดร.วรวุฒิ กล่าวว่า สำหรับความเสี่ยงของกทม.ต่อกรณีแผ่นดินไหวนั้นมาจาก 3 แหล่งคือ แผ่นดิน ไหวขนาดใหญ่นอกเขตไทยขนาด 7-8 ริกเตอร์ เช่น กรณีการเกิดที่เกาะสุมตรา กทม.ก็รู้สึกถึง แรงสั่นไหว เช่นเดียวกับรอยเลื่อนสะแกงของพม่า อยู่ห่างจากกทม.ประมาณ 400 ก.ม. ส่วนแหล่งที่ 2 แผ่นดินไหวจากแนวรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ และศรีสวัสดิ์ เพราะเป็นรอยเลื่อนใกล้กทม.ราว 200 กม.หากไหว ขนาดกลาง 5-6 ริกเตอร์ ก็สร้างความเสียหาย และสุดท้ายแผ่นดินไหวจากแนวรอยเลื่อน ทางทิศใต้ของกทม. เอง ประเมินว่าขนาดเล็กและปานกลาง ระดับ 4.5-5 ริกเตอร์ก็จะส่งผลกระทบขึ้น ได้ เนื่องจากปัจจัยที่กทม.เป็นชั้นดินอ่อนจะขยายแรงเพิ่มอีก 2-3 เท่า
กรณีของรอยเลื่อนด้านใต้กทม.นั้น จากสถิติย้อนกลับไป 60ปียังไม่มีสัญญาณว่ามีแผ่นดิน ไหว แต่ เนื่องจากกทม.เป็นเมืองหลวงเป็นพื้นที่ที่มีก่อสร้าง และตึกและอาคารสูงมาก แม้จะเสี่ยงต่อการเกิด แผ่นดินไหวน้อยก็ต้องศึกษา โดยขณะนี้มีการจัดสรรงบจำนวน 1 ล้านบาท เพื่อหาให้แน่ใจว่าแนวรอย
เลื่อนอยู่ตรงไหน ซึ่งข้อมูลแผนที่จุดสำรวจจะแล้วเสร็จช่วงเดือนต.ค.นี้ จากนั้น ต้นปี 2551 จึงจะลง ไปเจาะเก็บตัวอย่างทางธรณีวิทยาเพื่อดูสถิติการการเคลื่อนตัวต่อไป
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัจจุบันมี การก่อสร้างอาคารสูง และคอนโดมีเนียมบริเวณใจกลาง กทม.ค่อนข้างมาก จึงอยากให้เจ้าของ โครงการมีจิตสำนึกในการออกแบบ และสร้างอาคารที่รองรับแผ่นดินไหวได้ ซึ่งอยู่ระหว่างการเพิ่มใน พ.ร.บ.ควบคุมอาคารของกรมโยธาธิการและผังเมือง
สำหรับกรณีที่ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ไม่ได้ประกาศเตือนภัยชาวบ้านนั้น ดร.วรวุฒิ กล่าวว่า ถ้า ภาครัฐให้ความรู้กับประชาชน และสร้างความเข้าใจว่าแผ่นดินไหวในทะเลทุกครั้งไม่ได้แปลว่าจะเกิดสิ นามิ รวมทั้งศูนย์ควรจะมีมาตรการว่าจะแจ้งประชาชนได้อย่างไร ตามความเหมาะสมของเวลา ไม่ใช่รอ จนแน่ใจว่ามี หรือไม่มีสึนามิแล้วเตือน เนื่องจากชาวบ้านที่เคยมีประสบการณ์จาก 3 ปีที่แล้วเมื่อรับรู้ถึง แรงสั่นสะเทือน ประ กอบกับข่าวสารที่เข้าถึงชาวบ้านแล้วว่ามีแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ จึงต้องอพยพหนีเพื่อความปลอดภัยของตัวเองขณะที่ ศูนย์เตือนภัยไทย กลับไม่ให้ข่าวสารที่จำเป็นในพื้นที่เกี่ยวข้อง
ประชาชนเลยสับสน ซึ่งเรื่องนี้ไม่โทษประชาชนที่แตกตื่น แม้ว่าศูนย์จะเชื่อมั่นว่าจากระยะทางจากจุด เกิดเหตุแผ่นดินไหว และสถานการณ์จะไม่ส่งผลให้เกิดสึนามิมาถึงไทยก็ตาม แต่ก็จำเป็นต้องแจ้งให้ ประชาชนรู้เป็นระยะๆ ซึ่งตรงนี้เป็นช่องว่างที่ศูนย์ฯต้องนำไปปรับปรุง การเตือนภัย
แผ่นดินไหวครั้งนี้ถือว่าโชคดีเพราะว่าเป็นการขยับทีละรอบคือ ระดับ 8.4 ริกเตอร์ 7.8 และขนาด 7.2 ริกเตอร์ใกล้เคียงกัน ซึ่งแสดงว่าการปลดปล่อยพลังงานหรือการเคลื่อนที่ 3 ขยับ แต่หากสะสมรวมกัน แล้วขยับเพียงครั้งเดียว เชื่อว่าผลกระทบจะแรงมาก และส่งผลให้เปลือกโลกยกสูง และอาจเกิดสึนามิ
ที่มีความรุนแรง ซึ่งลักษณะของการขยับตัวของเปลือกโลกก็ปลดปล่อยไปในทิศทางเดียวกันคือทาง เหนือของเกาะสุมาตรา ดร.วรวุฒิ กล่าว
จาก : คม ชัด ลึก วันที่ 15 กันยายน 2550
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|