กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤศจิกายน 13, 2025, 10:45:26 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 18   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: วิกฤต : โลกร้อน (2)  (อ่าน 156482 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #105 เมื่อ: กรกฎาคม 10, 2007, 12:42:28 AM »


โลกร้อนคายพิษหวั่นน้ำท่วมกลืนแหล่งปลูกข้าวฯ

ฟิลิปปินส์-สถาบันข้าวสากลเตือนประเทศผู้ผลิตข้าวรายใหญ่ของโลก เสี่ยงเจอผลกระทบจากปัญหาน้ำทะเลเพิ่มสูงจากภาวะโลกร้อน ระบุเวียดนามจะอ่วมหนักในศตวรรษหน้า

โดยนายไรเน่อร์ วาสแมน ผู้เชี่ยวชาญด้านโลกร้อน ประจำสถาบันข้าวระหว่างประเทศ ตั้งอยู่ในกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ บอกว่า ปัจจุบันมีผู้ผลิตข้าวในเอเชียบางประเทศ ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ และมีอิทธิพลต่อความมั่นคงด้านอาหารในภูมิภาคนี้ มีพื้นที่ปลูกข้าวตั้งอยู่ในที่ราบต่ำ เช่นเวียดนามเป็นตัวอย่าง และการเผชิญกับระดับน้ำทะเลสูงจะทำให้เกิดผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยกล่าวได้ว่า ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงวิธีการปลูกข้าวของประเทศเหล่านี้ด้วย

อย่างไรก็ตาม นายวาสแมน กล่าวว่า อุณหภูมิที่หนาวลงหรือร้อนขึ้นย่อมมีผลต่อพื้นที่ปลูกข้าว โดยประเมินว่าในทศวรรษหน้า น้ำในทะเลจะเพิ่มสูงขึ้น 10-85 เซนติเมตร ซึ่งคาดว่าจะสร้างผลกระทบอย่างมหาศาลต่อบางประเทศรวมทั้งเวียดนาม อย่างไรก็ตาม เขาคาดว่า สถาบันข้าวจะสามารถพัฒนาวิธีการปลูกข้าวที่หลากหลายที่สามารถทำให้ข้าวสามารถทนต่ออุณหภูมิอากาศที่ร้อนขึ้น และเชื่อว่า ในอนาคต การรับมือกับปัญหารุนแรงด้านอากาศเช่นน้ำท่วมหรือภัยแล้ง จะพัฒนาขึ้นด้วย ทั้งนี้สถาบันข้าวกำลังทุ่มความพยายามรับมือกับภัยโลกร้อน แต่ยังมีปัญหาขาดงบประมาณสนับสนุนอย่างเพียงพอ


จาก         :             สยามรัฐ  วันที่ 10 กรกฎาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #106 เมื่อ: กรกฎาคม 10, 2007, 11:51:07 PM »


โลกร้อนส่งผลโรคที่มีแมลงเป็นพาหะ-ภูมิแพ้ร้ายแรงหนักขึ้น

      แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้เผยโลกร้อนจะส่งผลต่อโรคที่มียุง แมลง เป็นพาหะ เคลื่อนย้ายข้ามจังหวัดและภูมิภาค ทำให้ความถี่ของโรคที่มีอยู่แล้วเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน อุณหภูมิสูงขึ้น ไรฝุ่นมีโอกาสเพิ่ม เป็นต้นเหตุให้เกิดโรคภูมิแพ้มากตามไปด้วย เรียกร้องบูรณาการวิจัยศึกษาโรคที่อาจเกิดจากโลกร้อนเพื่อป้องกันได้ถูกทาง ขณะที่แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินแนะดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานครบ 5 หมู่ ลดเครียด เพื่อรับมือโลกร้อน

 
       ผศ.นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยว่า เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในแถบภูมิอากาศร้อนอยู่แล้ว ภาวะโลกที่จะร้อนขึ้นอาจยังไม่ชัดเจนสำหรับโรคใหม่ๆ มากนัก แต่จำนวนความถี่ของโรคที่มีอยู่เก่าอาจจะเพิ่มขึ้น ไม่ว่าเรื่องยุง แมลงวัน หรือแมลงต่างๆ อาจจะมีการเคลื่อนย้ายเปลี่ยนแปลงในเขตจังหวัด หรือภูมิภาคได้ ดังนั้น ประเทศไทยคงต้องเตรียมการเปลี่ยนแปลงจากโรคที่มีแมลงเป็นพาหะจะเพิ่มมากขึ้นและติดต่อได้ง่ายขึ้น รวมทั้งโรคภูมิแพ้ ซึ่งไรฝุ่นเป็นสารก่อภูมิแพ้มากที่สุด และไรฝุ่นชอบอยู่ในที่ร้อนและชื้น คงมีตัวเลขคนเป็นภูมิแพ้มากขึ้น ถ้าอุณหภูมิเพิ่มขึ้น ไรฝุ่นจะมีโอกาสเพิ่มมากขึ้น สปอร์เชื้อราน่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ละอองเกสรหญ้า ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดภูมิแพ้ก็มีการเปลี่ยนแปลง
       
       ทั้งนี้ สภาพภูมิอากาศปัจจุบันโรคภูมิแพ้มีมากอยู่แล้ว โดยในเด็กและเยาวชนเป็นภูมิแพ้ในจมูกร้อยละ 20-40 หอบหืดร้อยละ 4-13 ถ้ามีไรฝุ่นมาก สิ่งแวดล้อมกระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้มากขึ้น คงมีตัวเลขคนเป็นภูมิแพ้มากขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงยังต้องการการวิจัยว่าถ้าร้อนขึ้น 1-3 องศาเซลเซียส จะเป็นอย่างไร ส่วนที่ชัดเจน คือ ภูมิแพ้ผิวหนัง
       
       “ถ้าร้อนเหงื่อออกมากขึ้นจะกระตุ้นให้คนที่เป็นภูมิแพ้ผิวหนังมีอาการมากขึ้น การรักษาพยาบาลผมคิดว่ามีความพร้อมพอ แต่สิ่งที่จะต้องช่วยกันกระตุ้นความคิด คือ การทำงานวิจัยที่จะต้องไปร่วมมือกับด้านกีฏวิทยาและนิเวศวิทยา คงจะไม่ใช่เรื่องของสาธารณสุขอย่างเดียว จะต้องร่วมมือกับสัตวแพทย์ กรมปศุสัตว์ด้วยซ้ำว่าในวงจรชีวิตของแมลง ของสัตว์ที่เป็นแหล่งพาหะของโรคที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงด้วยภาวะอุณหภูมิอย่างไร และจะเป็นไปในทางโรครุนแรงมากขึ้นหรือน้อยลง ถ้างานวิจัยบูรณาการร่วมกัน จะทำให้เราวางแผนได้ถูกต้องว่าโรคอะไรที่จะเป็นปัญหาและป้องกันไว้ก่อน” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้ กล่าว
       
       ด้าน ศ.นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ หัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผยว่า สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงทำให้ประชาชนในพื้นที่ซึ่งไม่คุ้นเคยกับสภาพอากาศแบบนี้เกิดการเจ็บป่วยขึ้น และมักเกิดจากปัญหา 2 ประการคือ 1.ภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป จากความร้อนความแห้งแล้ง และเกิดไฟไหม้ป่า ทำให้เกิดควัน เหมือนที่เกิดขึ้นในภาคเหนือของไทย เมื่อคนสูดดมไปจะทำให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ ไอ หอบ เหนื่อย หายใจไม่ค่อยออก และเมื่อความแห้งแล้งเกิดขึ้นภาวะทุพโภชนาการก็จะเกิดขึ้น คนจะขาดอาหารขาดน้ำ จะทำให้เกิดโรคที่เกิดจากการขาดอาหารและน้ำ 2. ถ้าอากาศทำให้พื้นที่เกิดมีน้ำท่วมใหญ่ จะมีภัยจากโรคที่เกิดจากน้ำท่วมใหญ่ เช่น โรคฉี่หนู โรคน้ำกัดเท้า โรคที่มากับน้ำ ท้องเดินท้องเสีย
       
       ศ.นพ.สันต์ เปิดเผยด้วยว่า วิธีที่ดีที่สุดเพื่อรับมือกับโรคภัยไข้เจ็บที่จะมากับโลกร้อน คือ การดูแลสุขภาพของตนเองให้มีร่างกายแข็งแรง รับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอพอควร ลดความเครียดจากภาวะการดำรงชีพ เพราะไม่แน่ใจว่าภูมิอากาศจะเกี่ยวข้องกับการเป็นโรคจิตมากขึ้นหรือไม่ แต่อาจเป็นได้ เนื่องจากเมื่ออากาศร้อนจะทำให้เกิดอารมณ์ฉุนเฉียวได้ง่าย
       
       “ถ้าประเทศไทยร้อนขึ้นก็มีส่วนทำให้คนมีปัญหาสุขภาพจิต เพราะถ้าร้อนมากๆ จะรู้สึกอึดอัด มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงได้บ่อย ดีที่สุดทุกคนต้องพยายามรักษาตัวเอง ดูแลสุขภาพตัวเองให้เยือกเย็นลง ให้อารมณ์ดีขึ้น ถ้าร้อนก็ดื่มน้ำให้มากๆ อาบน้ำให้บ่อยขึ้น” หัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉินฯ กล่าว และว่า สำหรับการรับมือกับโรคที่จะมากับโลกร้อนนั้น กระทรวงสาธารณสุขคงเตรียมพร้อมเต็มที่เพราะไม่ใช่เปลี่ยนแบบมีภัยพิบัติฉุกเฉินทันที ไม่ได้เปลี่ยนกะทันหันรวดเร็ว แต่จะเปลี่ยนอย่างช้า ๆ ส่วนใหญ่คนจะปรับตัวเข้ากับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนอย่างช้าๆ ได้ สำหรับความเจ็บป่วยฉุกเฉินที่เข้ามายังโรงพยาบาลจำนวนมาก จะเป็นเรื่องการบาดเจ็บจากการดื่มสุรา เมาแล้วขับมาก รวมถึงป่วยจากโรคภัยดั้งเดิมกำเริบ คือ โรคหัวใจ ปอด หอบหืด โดยช่วงนี้จะมีอาหารเป็นพิษและไข้เลือดออกเพิ่มด้วย


จาก         :             ผู้จัดการออนไลน์  วันที่ 11 กรกฎาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #107 เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2007, 12:14:59 AM »


อาร์เจนตินาตื่น!หิมะตกรอบ 100 ปี  ไทยรับข้อมูลอ่อนจั้งทีมจับตาน้ำทะเล

โลกร้อนแปรปรวนหนัก หิมะตกใหญ่ในอาร์เจนตินาเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 100 ปี ชาวเมืองแตกตื่นหนาวตาย 2 ศพ ส่วนอมริกาคลื่นความร้อนถล่ม ขณะอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลฯ ยอมรับการติดตามปัญหาระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นจากภาวะโลกร้อนในไทยขาดการติดตามที่เป็นระบบ

  ปัญหาภาวะโลกร้อนยังส่งผลกระทบสร้างความผันผวนต่อระบบนิเวศวิทยา และความแปรปรวนของสภาพอากาศไปทั่วทุกหนแห่ง แม้ว่าหลายหน่วยงานทั่วโลกเริ่มตะหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเริ่มวางมาตรการแก้ไขทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างต่อเนื่อง แต่ความแปรปรวนของสภาพอากาศที่เกิดจากภาวะโลกร้อนเริ่มส่งผลกระทบอย่างหนักไปทั่วโลก ล่าสุดที่ประเทศอาร์เจนตินาเกิดหิมะตก ซึ่งปรากฏการณ์ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบเกือบร้อยปีอย่างไม่เคยมีมาก่อน


อาร์เจนตินาหิมะตกในรอบ 100 ปี

 เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม กรมอุตุนิยมวิทยาของอาร์เจนตินา เปิดเผยว่า เกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบเกือบร้อยปี เมื่อหิมะตกหนักติดต่อกันหลายชั่วโมงหลายพื้นที่ในกรุงบูเอโนสไอเรส เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ที่ผ่านมา บางแห่งมีหิมะตกหนักจนมองเห็นเป็นสีขาวโพลนปกคลุมอยู่ทั่วไป ทำให้ชาวกรุงบูเอโนสไอเรสต่างตกตะลึงไปตามๆ กัน เพราะเป็นครั้งแรกที่มีหิมะตกในนครหลวงแห่งนี้นับตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2461 เป็นต้นมา หลังจากนั้นมา 89 ปีก็ไม่เคยมีหิมะตกอีกเลย อย่างมากที่สุดมีแค่ลูกเห็บตกเป็นครั้งคราว 

 กรมอุตุนิยมวิทยาของอาร์เจนตินา เปิดเผยต่อว่า ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจากมวลอากาศเย็นจากมหาสมุทรแอนตาร์กติกที่ขั้วโลกใต้พัดเข้าปะทะกับความกดอากาศต่ำที่มีความชื้นสูงในแถบตะวันตกและภาคกลางของอาร์เจนตินา ส่งผลให้พื้นที่หลายแห่ง รวมทั้งกรุงบูเอโนสไอเรสมีหิมะและน้ำแข็งปกคลุม โดยเฉพาะที่จังหวัดริโอ เนโกร ซึ่งมีอุณหภูมิต่ำสุดถึงติดลบ 22 องศาเซลเซียส ต่างไปจากหิมะที่ตกพร้อมกับฝน และหายไปอย่างรวดเร็วช่วงที่ผ่านมา

 รายงานข่าวเผยว่า ประชาชนหลายพันคนพากันตื่นเต้นกับหิมะที่ตกลงมา ต่างพากันออกไปถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก ส่วนเด็กๆ ก็เล่นหิมะกันอย่างสนุกสนาน ขณะที่มีรายงานว่า เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนหลายจุด เนื่องจากถนนลื่น นอกจากนี้ มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจากสภาพอากาศที่หนาวเหน็บแล้วถึง 2 คน

 ทั้งนี้ กรุงบูเอโนสไอเรสเพิ่งเผชิญกับสภาพอากาศเย็นจัดที่อุณหภูมิลดต่ำลงมากกว่าจุดเยือกแข็ง เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา อันเป็นอุณหภูมิต่ำที่สุดในรอบเวลากว่า 40 ปี ส่งผลให้เกิดภาวะวิกฤติด้านพลังงานและมีผู้เสียชีวิตไป 23 คน ส่วนหิมะที่ตกเมื่อวันจันทร์มีรายงานผู้เสียชีวิต 2 คน


สหรัฐอ่วมคลื่นความร้อนซัด

 ขณะเดียวกัน ในส่วนของประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งอยู่ในทวีปเดียวกันแต่อยู่ทางตอนเหนือ กลับประสบปัญหาสภาพอากาศร้อนจัดจากคลื่นความร้อนแผ่ปกคลุมทั้งที่นครนิวยอร์กและที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประชาชนต้องหาวิธีต่างๆ เพื่อดับร้อน ขณะที่ไฟป่าในพื้นที่ทางตะวันตกยังคงเผาผลาญสร้างความเสียหายหลายรัฐ ทั้งที่แคลิฟอร์เนีย เนวาดา ยูทาห์ วอชิงตัน โคโลราโด โอเรกอน และมอนตานา โดยอุณหภูมิสูงสุดอาจเพิ่มขึ้นถึง 38 องศาเซลเซียส คาดว่าคลื่นความร้อนอาจแผ่กระจายไปยังพื้นที่ทางตะวันออกของประเทศภายในสัปดาห์นี้

 สำนักข่าวเอพีรายงานว่า เทศบาลนครนิวยอร์กได้เปิดศูนย์ทำความเย็นขึ้น 290 แห่ง เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศติดบ้านมานั่งพักผ่อนคลายร้อน ศูนย์เหล่านี้จะตั้งอยู่ตามอาคารที่ทำการสาธารณะ หรือศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ

 ข้ามทวีปมาที่ออสเตรเลีย โฆษกการท่าอากาศยานเมลเบิร์น แถลงว่า เกิดหมอกลงจัดเป็นอุปสรรคต่อเที่ยวบินทั้งภายในและระหว่างประเทศ ทำให้มีผู้โดยสารตกค้างอยู่ที่สนามบินเมลเบิร์นหลายพันคน โดยหมอกที่หนาทึบทำให้เที่ยวบินระหว่างประเทศ 14 เที่ยว ต้องเปลี่ยนเส้นทางไปลงจอดยังสนามบินที่อื่นแทน ส่วนใหญ่จะเป็นที่นครซิดนีย์ ขณะที่เที่ยวบินในประเทศต้องเลื่อนเวลาออกไปหรือยกเลิก 


ชี้ไทยขาดการติดตามที่เป็นระบบ

 ส่วนการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนในประเทศไทย หลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีความห่วงใยและสนพระราชหฤทัยต่อปัญหาภาวะโลกร้อนที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกนั้น พร้อมรับสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทุกวัน  วันเดียวกัน นางนิศากร โฆษิตรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ในส่วนของ ทช.ยอมรับว่าการเฝ้าติดตามปัญหาระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นจากสภาวะโลกร้อนที่อาจจะกระทบกับเมืองไทยยังขาดการติดตามที่เป็นระบบ โดยรู้ข้อมูลในเรื่องดังกล่าวจากโมเดลพยากรณ์คร่าวๆ เท่านั้น เนื่องจากหน่วยงานราชการ และนักวิชาการยังแยกกันทำงานและติดตามอยู่ในวงจำกัด ทำให้ยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันทั้งในแง่ของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในภาพรวม และการทำนายเพื่อการรับมือกับสถานการณ์ในอนาคต

 อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ทช.เตรียมตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามความเปลี่ยนแปลงทางด้านสมุทรศาสตร์ในภาพรวมทั้งหมด โดยเชิญนักวิทยาศาสตร์จากศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (START) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กองทัพเรือ กรมทรัพยากรธรณี กรมอุตุนิยมวิทยา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือและตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามเรื่องนี้ขึ้น   

 "เราเริ่มพบปรากฏการณ์ที่ยืนยันถึงอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่ชัดเจนแล้ว คือกรณีเหตุการณ์คลื่นลมแรงผิดปกติที่พัดเข้ามา สร้างความเสียหายและทำให้เกิดการกัดเซาะอย่างรุนแรงในเขตพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างหลายจังหวัด เมื่อปลายปี 2549 ซึ่งครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสเป็นห่วง และ ทช.ได้สนองพระราชดำรัส จนกระทั่งมีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์แก้ปัญหากัดเซาะ และได้เสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว" นางนิศากร กล่าว


ชี้น้ำทะเลสูงกระทบชายฝั่งกัดเซาะ

 ด้าน ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นความสำคัญของการช่วยกันแก้ปัญหาและรับมือกับภาวะโลกร้อน โดยให้ทุกภาคส่วนร่วมมือประสานงานกันนั้น ถือว่าพระองค์ทรงมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลมาก เพราะการรับมือและแก้ปัญหาโลกร้อนนั้นไม่เฉพาะนักวิทยาศาสตร์เท่านั้นที่ช่วยอธิบายแก้ไข และจัดการกับภาวะนี้ได้ แต่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกัน

     อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์ค่อนข้างชัดเจนว่ามีการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลจริง แต่ยังถือว่าอยู่ในอัตราที่ยังไม่สูงมากผิดปกติ ซึ่งระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยเพิ่มขึ้น 1-2 มิลลิเมตรต่อปี แต่ที่น่าสนใจคือระดับน้ำทะเลในฝั่งอันดามันสูงขึ้นถึง 8-12 มิลลิเมตรต่อปี แต่สิ่งที่น่าห่วงจากภาวะน้ำทะเลสูงขึ้นคือจะเป็นตัวเร่งให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่งมากขึ้นถึง 2 เท่า จากเดิมอัตราการกัดเซาะชายฝั่งเฉลี่ย 1-5 เมตรต่อปี แต่บางจุดอาจแรงถึง 12 เมตรต่อปี แต่ถ้ามีอัตราเร่งของน้ำทะเลเพิ่มเป็น 10 มิลลิเมตร พื้นที่อาจถูกน้ำกัดเซาะไปปีละ 10 เมตร ซึ่งภาพเฉลี่ยแล้วแต่ลักษณะของหาด ที่แบนไม่ลาดชันมากอย่างพื้นที่ จ.จันทบุรี ลุ่มน้ำปากพนัง จะเกิดปัญหามาก


ก.เกษตรฯ เสนอแผนบรรเทา

  วันเดียวกัน มีการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 มีนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธาน โดยในที่ประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เสนอแผนบรรเทาภาวะโลกร้อนด้านการเกษตร ภายใต้การจัดทำ 3 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1.การบริหารจัดการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกที่มีสาเหตุสำคัญจากกิจกรรมด้านการเกษตรที่สำคัญ โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 5 ด้าน คือ พืช ดิน น้ำ ปศุสัตว์และการประมง และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับการเกษตร 2.การป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยการนำมาตรการ เทคนิคและวิธีการที่เหมาะสมในการใช้ทรัพยากรที่มีประโยชน์ และ 3.ด้านการรณรงค์เผยแพร่การประชาสัมพันธ์และพัฒนาบุคลากร เพื่อให้เกษตรกรมีส่วนร่วม และปลูกจิตสำนึกให้รักษ์สิ่งแวดล้อม

 ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้เห็นชอบในข้อเสนอดังกล่าว พร้อมกับเตรียมเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบในหลักการของแผนบรรเทาภาวะโลกร้อนด้านการเกษตร พร้อมกันนี้ในที่ประชุมยังได้เสนอให้มีการทำงานในเชิงบูรณาการร่วมกันของแต่ละกระทรวง โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้จัดทำระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อจัดตั้งคณะกรรมการดูแลผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศแห่งชาติ เพื่อแก้ปัญหาอย่างบูรณาการร่วมกัน


โลกร้อนทำโรคแมลงเป็นพาหะเพิ่ม

 จากปัญหาสภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในขณะนี้ วันเดียวกัน  ผศ.น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวว่า เนื่องจากประเทศไทยอยู่แถบภูมิอากาศร้อนอยู่แล้ว ภาวะโลกที่จะร้อนขึ้นอาจยังไม่ชัดเจนสำหรับโรคใหม่ๆ มากนัก แต่จำนวนความถี่ของโรคที่มีอยู่เก่าอาจจะเพิ่มขึ้น ไม่ว่าเรื่องยุง แมลงวัน หรือแมลงต่างๆ อาจจะมีการเคลื่อนย้ายเปลี่ยนแปลงในเขตจังหวัดหรือภูมิภาคได้ ดังนั้น ประเทศไทยคงต้องเตรียมการเปลี่ยนแปลงจากโรคที่มีแมลงเป็นพาหะเพิ่มมากขึ้น และติดต่อได้ง่ายขึ้น รวมทั้งโรคภูมิแพ้ ซึ่งไรฝุ่นเป็นสารก่อภูมิแพ้มากที่สุด เพราะไรฝุ่นชอบอยู่ในที่ร้อนและชื้น

 ผศ.น.พ.เฉลิมชัย กล่าวต่อว่า สภาพภูมิอากาศปัจจุบันโรคภูมิแพ้มีมากอยู่แล้ว โดยเด็กและเยาวชนเป็นภูมิแพ้ในจมูกร้อยละ 20-40 หอบหืดร้อยละ 4-13 ถ้ามีไรฝุ่นมาก สิ่งแวดล้อมกระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้มากขึ้น คงมีตัวเลขคนเป็นภูมิแพ้มากขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงยังต้องการการวิจัยว่าถ้าร้อนขึ้น 1-3 องศาเซลเซียส จะเป็นอย่างไร ส่วนที่ชัดเจนคือ ภูมิแพ้ผิวหนัง

 “สิ่งที่จะต้องช่วยกันกระตุ้นความคิดคือ การทำงานวิจัยที่จะต้องไปร่วมมือกับด้านกีฏวิทยาและนิเวศวิทยา คงจะไม่ใช่เรื่องของสาธารณสุขอย่างเดียว จะต้องร่วมมือกับสัตวแพทย์ กรมปศุสัตว์ด้วยซ้ำว่าในวงจรชีวิตของแมลง ของสัตว์ที่เป็นแหล่งพาหะของโรคที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงด้วยภาวะอุณหภูมิอย่างไร และจะเป็นไปในทางโรครุนแรงมากขึ้นหรือน้อยลง ถ้างานวิจัยบูรณาการร่วมกัน จะทำให้เราวางแผนได้ถูกต้องว่าโรคอะไรที่จะเป็นปัญหาและป้องกันไว้ก่อน” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้ กล่าว
 


จาก         :             คม ชัด ลึก  วันที่ 11 กรกฎาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #108 เมื่อ: กรกฎาคม 21, 2007, 01:32:42 AM »


โลกร้อน ผลกระทบต่อ หมีขั้วโลก



แม่หมีขั้วโลกต้องย้ายถิ่นจากแผ่นน้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกขึ้นฝั่งทางตอนเหนือของอลาสก้าเพื่อใช้เป็นสถานที่ให้กำเนิดลูก นี่คือรายงานวิจัยชิ้นล่าสุดเกี่ยวกับชะตากรรมของหมีขั้วโลกที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน

การศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมา พบว่าหมีขั้วโลกได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการละลายของน้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกที่เกิดจากภาวะโลกร้อน

อุณหภูมิบริเวณขั้วโลกเหนือสูงขึ้นถึง 5 องศาเซียสในรอบ 100 ปี สูงกว่าบริเวณใดๆ ของโลก โดยในบริเวณอลาสก้า ตะวันตกของแคนาดา และตะวันออกของรัสเซียอุณหภมิเพิ่มขึ้น 4-7 องศาฟาห์เรนไฮท์ภายในเวลา 50 ปี และอุณหภูมิในฤดูหนาวสูงขึ้นเร็วกว่าในฤดูร้อนเพราะน้ำแข็งที่บางลงจะปล่อยพลังงานจากมหาสมุทรสู่ชั้นบรรยากาศได้มากขึ้น

เมื่อปี 2006 นักวิทยาศาสตร์พบว่า แผ่นน้ำแข็งของมหาสมุทรอาร์กติกเกือบ 7 ล้านตารางกิโลเมตรหดตัวเหลือเพียง 5.32 ล้านตารางกิโลเมตร ลดลงไปประมาณ 1.3 ล้านตารางกิโลเมตร หรือขนาดสองเท่าของรัฐเท็กซัส

นอกจากนั้นยังพบว่า ตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมาช่วงเวลาน้ำแข็งละลายซึ่งจะเริ่มในฤดูใบไม้ผลิเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติในบริเวณทางตอนเหนือของอลาสก้าและไซบีเรีย และเมื่อปี 2005 ช่วงเวลาน้ำแข็งละลายทั่วอาร์กติกเร็วขึ้นถึง 17 วัน

หมีขั้วโลก (Polar bear) เป็นสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ursus maritimus เป็นภาษาละตินมีความหมายว่า หมีทะเล

ปัจจุบันมีหมีขั้วโลกอยู่ประมาณ 20,000-25,000 ตัว ราว 60% อยู่ในเขตประเทศแคนาดา ที่เหลือกระจายพันธุ์อยู่ในอลาสก้า รัสเซีย นอร์เวย์ และเกาะกรีนแลนด์

หมีขั้วโลกอาศัยแผ่นน้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกเพื่อจับแมวน้ำซึ่งโผล่ขึ้นมาหายใจทางรูน้ำแข็งหรือริมขอบน้ำแข็งเป็นอาหาร ช่วงเวลาที่น้ำแข็งละลายเร็วขึ้นทำให้โอกาสที่มันจะจับแมวน้ำน้อยลงไป และแผ่นน้ำแข็งที่ละลายมากขึ้นทำให้หมีขั้วโลกจำนวนหนึ่งต้องจมน้ำตาย

การศึกษาโดย US Fish and Wildlife Service พบว่าหมีขั้วโลกที่อ่าวฮัดสัน แคนาดาลดจำนวนลงถึง 22% จาก 1,194 ตัวในปี 1987 เหลือ 935 ตัวในปี 2004 สาเหตุใหญ่เกิดจากแผ่นน้ำแข็งลดน้อยลง

แผ่นน้ำแข็งในอ่าวฮัดสันละลายเร็วขึ้น 2 1/2 สัปดาห์เมื่อเทียบกับ 30 ปีก่อน การขาดแคลนอาหารทำให้หมีตัวเมียมีน้ำหนักลดลง 55 ปอนด์ นักวิทยาศาสตร์ของกองทุนสัตว์ป่าโลก คาดว่าหากน้ำแข็งยังละลายในอัตราที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ถึงปี 2012 หมีตัวเมียบริเวณอ่าวฮัดสันจะผอมมากจนกระทั่งไม่สามารถจะสืบพันธุ์ได้

ผลการศึกษาล่าสุดโดยทีมนักวิทยาศาสตร์ของ US Geological Survey (USGS) พบว่าหมีตัวเมียจำนวนมากได้ย้ายถิ่นจากแผ่นน้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกขึ้นบกที่อลาสก้าเพื่อให้กำเนิดลูก

โดยธรรมชาติหมีตัวเมียที่ตั้งครรภ์จะสร้างถ้ำจากหิมะที่ทับถมบนแผ่นน้ำแข็งเพื่อให้กำเนิดและเลี้ยงดูลูก นักวิทยาศาสตร์พบว่าในระหว่างปี 1985-1994 แม่หมีขั้วโลกจำนวน 62% สร้างถ้ำเพื่อให้กำเนิดลูกบนแผ่นน้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติก แต่ในระหว่างปี 1998-2004 มีจำนวนลดลง 37%

ทีมนักวิทยาศาสตร์ใช้วิธีศึกษาโดยสวมปลอกคอซึ่งติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณวิทยุผ่านดาวเทียมให้กับหมีตัวเมียในบริเวณตอนเหนือของอลาสก้า ตั้งแต่ปี 1985 เพื่อติดตามตำแหน่งของแม่หมี สัญญาณวิทยุที่อ่อนลงหมายความว่า แม่หมีกำลังอยู่ในถ้ำที่ให้กำเนิดลูก ด้วยวิธีนี้ทีมนักวิทยาศาสตร์สามารถติดตามแม่หมีได้ทั้งหมดจำนวน 383 ตัวตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 1985-มิถุนายน 2005

ทีมนักวิทยาศาสตร์สรุปผลการศึกษาว่า แม่หมีจำนวนมากกำลังสร้างถ้ำบนผืนแผ่นดินเพราะว่าน้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกลดน้อยลงและมีสภาพไม่มั่นคง ข้อมูลจากดาวเทียมแสดงให้เห็นว่าแม่หมีมีแนวโน้มจะเปลี่ยนบริเวณสร้างถ้ำไปยังบริเวณตะวันออกเพื่อหนีจากบริเวณตะวันตกซึ่งแผ่นน้ำแข็งบางลงอย่างรวดเร็ว

แอนโธนี ฟิชแบช นักวิทยาศาสตร์ของ USGS หนึ่งในทีมศึกษา บอกว่า ไม่กี่ปีที่ผ่านมาแผ่นน้ำแข็งอาร์กติกที่ละลายคืนสภาพช้าลง ละลายเร็วขึ้น และบางลงด้วย การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ส่งผลให้แผ่นน้ำแข็งมีสภาพไม่มั่นคงต่อการสร้างถ้ำเพื่อให้กำเนิดลูกหมี

ปัจจุบันหมีขั้วโลกเป็นที่สนใจของหลายองค์กร เป็นเวลา 4 ปีแล้วที่องค์กรกองทุนสัตว์ป่าโลก (World Wide Fund For Nature : WWF) ได้ติดตามศึกษาหมีขั้วโลกในบริเวณหมู่เกาะสฟาลบาร์ (Svalbard Archipelago) ของนอร์เวย์ตามโครงการ WWF-Canon Polar Bear Tracker

ทีมนักวิทยาศาสตร์สวมปลอกคอซึ่งติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณวิทยุให้กับหมีตัวเมีย (ไม่สามารถสวมปลอกคอให้กับตัวผู้ได้เพราะหมีตัวผู้มีคอใหญ่กว่าหัว) เพื่อเรียนรู้ว่าหมีขั้วโลกมีวิถีชีวิตในสภาพแวดล้อมของอาร์กติกอย่างไร และพวกมันได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอากาศจากภาวะโลกร้อนอย่างไร

นักวิทยาศาสตร์สามารถตรวจจับการเคลื่อนที่ของหมีขั้วโลกจากสัญญาณวิทยุผ่านดาวเทียม ข้อมูลจะบ่งบอกถึงเวลาที่แม่หมีขั้วโลกเข้าไปในถ้ำหิมะบนแผ่นน้ำแข็ง ช่วงเวลาที่มันออกจากถ้ำพร้อมลูกน้อย และระยะทางที่หมีขั้วโลกเดินทางในแต่ละวัน ในระยะยาวข้อมูลเหล่านี้จะแสดงให้เห็นการปรับตัวของหมีขั้วโลก ตัวอย่างเช่น ในปีที่แผ่นน้ำแข็งละลายมาก หมีขั้วโลกจะไปที่ไหนและปรับตัวอย่างไร

ปัจจุบันสหพันธ์อนุรักษ์โลก (World Conservation Union - IUCN) ได้ปรับสถานภาพหมีขั้วโลกจาก น่าเป็นห่วงที่สุด (Least Concern) มาเป็นเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ (Vulnerable) และพยากรณ์ว่าจำนวนหมีขั้วโลกจะลดลง 30% ภายในปี 2050

หมีขั้วโลกเป็นสัตว์ป่าไม่กี่ชนิดที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เพราะการเปลี่ยนแปลงของอากาศ ไม่ใช่เพราะการล่าของมนุษย์หรือการบุกรุกถิ่นอาศัยโดยมนุษย์ การอาศัยอยู่บนแผ่นน้ำแข็งในมหาสมุทรทำให้การล่าหมีขั้วโลกเป็นไปได้ยาก

ทว่าตอนนี้นักอนุรักษ์กำลังเป็นห่วง เพราะการที่พวกมันกำลังขึ้นบกเพราะภาวะโลกร้อน จะทำให้การล่าพวกมันง่ายขึ้น

จาก         :             มติชน  คอลัมน์ โลกสามมิติ   วันที่ 21 กรกฎาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #109 เมื่อ: กรกฎาคม 22, 2007, 12:29:56 AM »


พลังงานอนาคต-ลดโลกร้อน
 


สภาวะ “โลกร้อน” ก่อความวิตกกังวลให้กับคนทั่วโลก หลายประเทศจึงมองหาแหล่งพลังใหม่มาใช้ทดแทนเชื้อเพลิงถ่านหินและน้ำมัน ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของโลกร้อน อนาคตข้างหน้านี้จึงมีอภิมหาโปรเจกต์เกิดขึ้นในหลายทวีป ดังจะขอนำมาเล่าสู่กันฟังในซันเดย์ สเปเชียล หนนี้ครับ

โครงการแรก ได้แก่ การนำพลังงานลมในทะเลเหนือ (North Sea) มาใช้ โดยฮอลแลนด์ ได้จัดสร้าง “ทุ่งกังหันลม” มหึมาขึ้นหลายแห่ง เช่นที่ เอ็ดมันด์อาน ซี ซึ่งอยู่นอกชายฝั่งทะเลไป 10 ไมล์

โดยกังหันทะเลแต่ละตัวมีใบพัดยาวถึง 47 เมตร (เกือบครึ่งหนึ่งของสนามฟุตบอล) ทำขึ้นจากสารอีพ็อกซี่กับคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งมีน้ำหนักเบาและแข็งแกร่ง

ทะเลเหนือนั้นมีลมพายุที่พัดแรงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก การติดตั้งกังหันจึงต้องอาศัยฐานแท่นที่มั่นคงยิ่งยวด คือ มีตอม่อ หรือ “ขา” สี่ข้างที่ฝังลึกลงไปในชั้นหินก้นทะเลถึง 33 เมตร ขาอีก 24 เมตร อยู่ในน้ำ เหลืออีก 70 เมตร สูงจากพื้นน้ำเสียดท้องฟ้า ซึ่งมีกระแสลมแรงพัดตึง

ในวันลมสงบ กังหันจะหมุนราบเรียบเหมือนเข็มนาฬิกา แต่ ทะเลเหนือนั้นมีโอกาสแปรปรวนได้ทุกเวลา จากการที่ลมร้อนของกระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีมปะทะกับลมเย็นอาร์คติก ทำให้เกิดความปั่นป่วนเป็นพายุ เมื่อโหมกระหน่ำใบพัดก็ไม่ต่างอะไรกับรถบรรทุกแล่นตะบึงเข้าชน กังหันจะหมุนขดลวดเครื่องกำเนิดไฟฟ้าตัดกับสนามแม่เหล็ก ผลก็คือพลังงานไฟฟ้าสำหรับบ้าน 3,000 หลังคาเรือนต่อกังหันแต่ละตัว ฟังแล้วคล้ายง่ายดาย แต่อุปกรณ์ภายในล้วนไฮเทคพอๆ กับอุปกรณ์เครื่องบินนั่นเทียว



ทีนี้มาดูเมืองที่ไร้ลมแรง เขาจะอาศัยพลังงานธรรมชาติอะไร

นิวยอร์กซิตี้มีทั้งแม่น้ำอีสต์ และแม่น้ำฮัดสัน ไหลล้อมรอบเกาะแมนฮัตตัน น้ำจะไหลขึ้นลงทุกหกชั่วโมงตามแรง ดึงดูดของดวงจันทร์ มีพลังพอเพียงที่จะเอาไปใช้งานได้ นั่นคือหมุนกังหันที่ติดตั้งไว้ในน้ำแล้วผลิตกระแสไฟฟ้าออกมาด้วยระบบพลังงานน้ำไหลอิสระ (Freeflow Hydropower System) ซึ่งติดตั้งทดลองเป็นแห่งแรกของโลกที่กริสตีเดส (Gristedes), นิวยอร์ก จากความร่วมมือระหว่างรัฐกับเอกชน

กังหันใต้น้ำที่ติดตั้งอยู่เบื้องล่างจะลอยขึ้น-ลงตามระดับน้ำ กระแสน้ำไหลมีความเร็วราว 4 นอต ซึ่งพัดหมุนกังหันแต่ละชุดให้ สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 35 กิโลวัตต์ เพียงพอใช้สำหรับบ้าน 20 หลัง เป็นเวลาหนึ่งปี จัดเป็น พลังงานที่ได้มาฟรีๆตราบเท่าที่ยังมีดวงจันทราปรากฏอยู่บนนภากาศ

ออสเตรเลียเป็นทวีปที่มีธรรมชาติงดงาม หากทว่า บรรยากาศกลับแสนสกปรก อันเนื่องมาจากการเผาถ่านหินเป็นพลังงานสำหรับทุกเมือง เฉลี่ยแล้วพลเมืองออสเตรเลียใช้ถ่านหินมากกว่าผู้คนในทวีปอื่น

ด้วยเหตุฉะนี้ จึงได้มีการคิดอ่านใช้พลังงานสะอาดมาทดแทนถ่านหิน เราพูดถึงพลังงานลมและน้ำไปแล้ว คราวนี้มาทัศนาพลังงานจากดวงอาทิตย์หรือแสงแดดกันบ้าง



โครงการซันเรย์เซีย (Sunraysia) เกิดขึ้นกลางทุ่งโล่งห่างจากเมืองซิดนีย์ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ 400 ไมล์ ที่นี่จะมีหอคอยพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่และสูงที่สุดของโลก ด้วยขนาดความกว้างของเส้นผ่าศูนย์กลาง 65 เมตร ความสูง 600 เมตร สูงกว่าอาคารไทเป 101 ชั้น ที่เป็นสิ่งก่อสร้างสูงที่สุดของโลกขณะนี้

รอบฐานเบื้องล่างของหอคอยติดตั้งแผ่นกระจกขนาดกว้างใหญ่ไพศาลหลายพันตารางเมตร ใหญ่กว่าสวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์คของนิวยอร์กถึงหกเท่า ทั้งนี้ อาศัยหลักการทำงานเช่นเดียวกับลูกบัลลูนที่ลอยได้ด้วยอากาศร้อนที่อัดเข้าไป นั่นคือ เมื่อแสงแดดตกกระทบแผ่นกระจก อากาศที่ถูกกักอยู่ในหอด้านล่างก็จะร้อน แล้วลอยตัวขึ้นสูงไปตามช่องว่างกลางหอคอย เหมือนที่เวลาเราเผาไฟแล้วควันจะลอยสูงในปล่อง ลมร้อนนี้จะพุ่งผ่านใบกังหันจนหมุนติ้วแล้วไปปั่นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าอีกต่อหนึ่ง กระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจะถ่ายทอดไปสู่สถานีจ่ายไฟที่ห่างออกไป 5 ไมล์ ซึ่งก็จะป้อนไฟฟ้าเป็นพลังงานให้กับบ้านเรือนได้ถึง 100,000 หลัง โดยไม่จำเป็นต้องมีการเผาถ่านหินอีกต่อไปแม้แต่ก้อนเดียว อากาศ จะบริสุทธิ์ดุจประหนึ่งเอารถ 90,000 คัน ออกไปจากท้องถนนนั่นเทียว

แล้วก็มาถึงพลัง งานนิวเคลียร์

ที่เมืองออกซฟอร์ด ในใจกลางอังกฤษ มีโครงการก่อสร้าง “ทอรัส (TORUS)” ปฏิกรณ์ปรมาณูหลอมละลาย (Nuclear Fusion Reactor) ใหญ่ที่สุดใน โลก ใช้นักวิทยาศาสตร์ ร่วมปฏิบัติการนี้นับพันคน กับเวลาอีก 29 ปี ในการก่อสร้าง เพื่อจะให้ได้ขุมพลังงานที่มีประสิทธิภาพสำหรับโลกทั้งใบ



โดยถ้าใช้ปฏิกิริยาฟิวชั่นผลิตพลังงาน นอกจากจะสะอาดไร้ มลพิษแล้ว วัตถุดิบก็ยังเหลือเฟือไม่มีวันหมดสิ้นอีกด้วย

ภายในปฏิกรณ์ทอรัส ไม่มีการใช้สารกัมมันตรังสี อย่างเช่น พลูโตเนียม หรือยูเรเนียม วัสดุเชื้อเพลิงของทอรัส ได้แก่ ไฮโดรเจน โดยเมื่อไฮโดรเจนได้รับความร้อนจนมีอุณหภูมิสูงถึง 150 ล้านองศา ร้อนกว่าสิบเท่าของอุณหภูมิใจกลางดวงอาทิตย์ อะตอมของไฮโดรเจนก็จะแปร สภาพเป็นพลาสมา อะตอมพลาสมาจะวิ่งชนกันและหลอมเข้าด้วยกัน ปฏิกิริยานี้จะปลดปล่อยนิวตรอนที่เป็นพลังงานบริสุทธิ์ออกมา พลังงานที่ได้สูงกว่าพลังงานนิวเคลียร์ฟิสชั่นในปัจจุบันนับล้านเท่า และสูงกว่าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลถึงล้านล้านเท่า

เนื่องจากไฮโดรเจนเป็นธาตุองค์ประกอบของน้ำ (H2O) จึงใช้น้ำเป็นวัตถุดิบ น้ำบริสุทธิ์หนึ่งอ่าง จะให้พลังงานจากปฏิกิริยาฟิวชั่นเพียงพอสำหรับความ ต้องการพลังงานทุกชนิดของมนุษย์หนึ่งคน ทั้งใช้ในยานพาหนะ ใช้ทำความร้อน ใช้ในการบริโภค ใช้ทุกอย่าง เป็นเวลานานถึง 30 ปี นับเป็นแหล่งพลังงานน่าอัศจรรย์ยิ่ง

อย่างไรก็ตาม นิวเคลียร์ฟิวชั่นยังอยู่ในระหว่างการวิจัยและพัฒนา คาดว่ากว่าจะใช้ งานได้จริงก็โน่น อีก 50 ปีข้างหน้า ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น เชื้อเพลิงธรรมชาติที่เรามีอยู่ก็คงเกือบหมดสิ้นไปพอดี



ความจริงยังมีแหล่งเชื้อเพลิงสำรองอีก อย่างหนึ่ง นั่นคือ “แก๊สน้ำ (gas hydrate)” ซึ่งอยู่ในรูปของก๊าซเมเธนแข็ง (frozen methane) นักวิทยาศาสตร์คาดว่าเชื้อเพลิงชนิดนี้มีอยู่ใต้พื้นพิภพเป็นปริมาณมหาศาลยิ่งกว่าถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติรวมกันทั้งหมดเสียอีก

โดยก๊าซเมเธนที่ถูกเก็บกักไว้ในโมเลกุลของน้ำ จะถูกอัดตัวจนเล็กกว่าหนึ่งใน 160 ของขนาดเมื่ออยู่อิสระหรือที่ผิวน้ำ ด้วยปริมาตรเพียงเล็กน้อยก็อาจใช้เป็นพลังงานไฟฟ้าสำหรับเมืองขนาดกลางได้นานถึงหนึ่งปี ประเมิน กันว่า แก๊สน้ำใต้อ่าวเม็กซิโกทั้งหมดสามารถนำมาใช้ทั้งสหรัฐฯ ได้นานถึง 2,000 ปี!

ครับ ทั้งหมดที่กล่าวมาก็เป็นเพียงตัวอย่างของโครงการระดับยักษ์ จากความพยายามของมนุษย์โลกที่จะหาพลังงานในอนาคตมาทดแทน เชื้อเพลิงสกปรกและกำลังจะหมดไป ถ้าหากสนใจจะเห็นภาพจริงและรายละเอียดมากกว่านี้ก็ติดตามชมได้จากโทรทัศน์ทรูวิชั่นส์ ช่อง Discovery (A25, D47) ในชื่อเรื่อง Building the Future ซึ่งนอกจากตอนแรกจะเป็นเรื่องของพลังงาน ดังที่เล่ามา (The Energy Solution) แล้วก็ยังมีตอนต่อๆไปที่กล่าวถึงคือ มหันตภัยที่จะเกิดขึ้นกับสิ่งก่อสร้าง (21st Century Shelter) การเสาะหาแหล่งน้ำ (The Quest for Water) และการเอาชีวิตรอดจากภัยพิบัติธรรมชาติ (Surviving Natural Disasters) เสนอเรียงลำดับจากวันที่ 30 ก.ค., 31 ก.ค., 1 ส.ค. และ 2 ส.ค.นี้ ตั้งแต่เวลา 21.00 น. ครับผม.


จาก         :             ไทยรัฐ  คอลัมน์ซันเดย์ สเปเชียล    วันที่ 22 กรกฎาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #110 เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2007, 12:38:30 AM »


โลกร้อนเสริมเหตุกระทบชายฝั่งทะเลทั่วโลก



หลายองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก กล่าวถึงความรุนแรงของปัญหาภาวะโลกร้อนว่า อาจมีความรุนแรงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ณ เวลานี้ทุกคนไม่ควรละเลยความสำคัญของปัญหาดังกล่าว โดยเฉพาะผลกระทบโลกร้อนอาจเพิ่มปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล ซึ่งมีสาเหตุจากการกระทำของมนุษย์ และจากธรรมชาติ อาจมีความรุนแรงและเกิดขึ้นรวดเร็วมากกว่าที่คาดการณ์ไว้

ภาวะโลกร้อนสามารถเป็นปัจจัยเสริมความรุนแรงของสาเหตุจากธรรมชาติที่ก่อให้เกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล เนื่องจากผลกระทบทำให้เกิดความแปรปรวนของสภาพอากาศโลก และการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล ส่งผลให้พายุและคลื่นที่พัดเข้าหาชายฝั่งทะเล มีความถี่และความรุนแรงเพิ่มขึ้นและมีการเปลี่ยนทิศทาง จนเกิดการกัดเซาะรุนแรงจนสูญเสียเนื้อที่ชายฝั่งและเกิดแผ่นดินทรุดตัวตามแนวชายฝั่งเพิ่มขึ้น ทำให้ชุมชนต้องอพยพย้ายที่อยู่อาศัย และรัฐต้องเสียงบประมาณป้องกันปัญหาดังกล่าวเพิ่มขึ้น

หลายประเทศมีสภาพปัญหาที่ใกล้เคียงกันเกี่ยวกับปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลดังกล่าว เช่น ที่รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา มีการสูงขึ้นของระดับน้ำทะเลลุกล้ำเข้าสู่ปากแม่น้ำและท่วมชายฝั่ง รวมทั้งการลดลงของชายหาดในหลายแห่ง ดังนั้น สถาบัน Institute of Science and Public Affairs แห่งมหาวิทยาลัยมลรัฐฟลอริดา ได้ทำการการศึกษาในปี 2007 เพื่อคาดการณ์การสูงขึ้นของระดับน้ำทะเล ตั้งแต่ปี 2006-2080 ในบริเวณรอบฟลอริดา เพนนินซูลา พบว่าแนวโน้มความสัมพันธ์ของช่วงเวลาและการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลเป็นเส้นตรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของระดับก๊าซเรือนกระจก การศึกษานี้ทำให้ทราบแนวทางการวางแผนทางเศรษฐศาสตร์และการป้องกันในอนาคต

และจากการรายงานของ Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC) ปี 2007 เช่นกัน พบว่าประเทศออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ มีระดับน้ำทะเลสูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยระดับน้ำทะเลทั่วโลกประมาณ 25% หมายถึงระดับน้ำในมหาสมุทรอาจเพิ่มขึ้นถึงระดับ 80 เซนติเมตร ในปี 2100 ข้างหน้า ทั้งพบว่ามีความถี่และความรุนแรงของพายุเพิ่มขึ้นด้วย รวมทั้งชายฝั่งถูกน้ำท่วมในหลายแห่ง โดยเฉพาะทางแถบเมือง Cairn และแถบตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐควีนแลนด์ ของออสเตรเลีย

ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่มีความยาวค่อนข้างมาก กล่าวคือ ฝั่งอ่าวไทย มีความยาวชายฝั่งตลอดแนว 1,878 กิโลเมตร และชายฝั่งทะเลอันดามัน 937 กิโลเมตร (จากข้อมูลกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง) ตลอดทั้งสองแนวชายฝั่งมีทรัพยากรทางทะเลหลากหลายชนิดทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ มากมาย อาทิ การท่องเที่ยว การทำประมงชายฝั่ง การคมนาคมทางน้ำ หากเกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเพิ่มขึ้นก็อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจตามมา

เมืองไทยและทุกประเทศต้องร่วมมือกันวางแผนป้องกันทั้งในระยะสั้น และระยะยาว เพราะการไหลเวียนของกระแสน้ำทะเลและมวลอากาศของโลกมีการเชื่อมโยงถึงกันอยู่ตลอดเวลา


จาก         :             มติชน  คอลัมน์ จับกระแสโลกร้อน    วันที่ 25 กรกฎาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #111 เมื่อ: สิงหาคม 02, 2007, 12:32:35 AM »


อุณหภูมิโลกร้อนเหตุพายุดุร้าย ถล่มถี่กว่าศตวรรษ ก่อนเท่าตัว
 
นักศึกษาวิจัยเกี่ยวกับดินฟ้าอากาศ พบด้วยความตกใจว่า เพราะอุณหภูมิของโลกที่ร้อนขึ้น ในช่วงศตวรรษที่แล้วมานี้ ทำให้เกิดมีพายุเฮอร์ริเคน พัดโหมถล่มบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติก มากยิ่งขึ้นกว่าเดิมถึงเท่าตัว

นักวิจัยกล่าวว่า ดินฟ้าอากาศที่แปรปรวน ทำให้รูปแบบของลมพายุเปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งอุณหภูมิของผิวน้ำในทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย นักวิจัยบางคนมีความเห็นว่า พายุเฮอร์ริเคนเป็นเรื่องของสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นรอบๆ แต่นักวิจัยผู้ศึกษาเรื่องนี้ยืนยันว่ามันไม่ได้เกิดเป็นเองตามธรรมชาติ

การศึกษาพบว่า พายุเฮอร์ริเคนที่นัดกันมาถล่มดินแดนอเมริกาในช่วง 2-3 ปีมานี้ ได้ทวีความถี่ขึ้นมานับตั้งแต่กลางทศวรรษ ค.ศ.1980 เป็นต้น

รายงานการศึกษาซึ่งเปิดเผยในวารสารวิชาการของราชสมาคม ในกรุงลอนดอน กล่าวว่า ได้ศึกษาความถี่ของพายุ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2443 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน และพบว่ามีพายุเกิดบ่อยขึ้นยิ่งกว่าเมื่อ 100 ปีก่อน มาทุกปี โดยเฉพาะในปีนี้ ก็จะเป็นปีที่มีพายุมากปีหนึ่ง ไม่ต่ำกว่า 9 ลูก และในจำนวนนี้อาจจะเป็นพายุลูกใหญ่ถึง 5 ลูก.
 

 
จาก         :             ไทยรัฐ    วันที่ 2 สิงหาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #112 เมื่อ: สิงหาคม 02, 2007, 12:34:43 AM »


ดร.โจเตือนรับมือ ภัยพิบัติโลกร้อน
 
เมื่อวันที่ 1 ส.ค. ดร.พิจิตต รัตตกุล ผอ.องค์การเตรียมความพร้อมภัยพิบัติแห่งทวีปเอเชีย กล่าวว่า เมื่อวันที่ 31 ก.ค. ตนได้ไปปาฐกถาพิเศษในการประชุมนานาชาติ “เอเชีย โอเชียนนิก จีโอ ไซ-โซไซตี้” (AOGS) ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 31 ก.ค. ถึงวันที่ 4 ส.ค.นี้ ซึ่งจัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ การประชุมครั้งนี้มีนักวิทยาศาสตร์ นักธรณีวิทยา นักอุทกศาสตร์ จาก 46 ประเทศ จำนวน 1,200 คน เข้าร่วมประชุมเกี่ยวกับอุบัติภัยหลากหลายชนิด ที่เป็นผลพวงจากภาวะโลกร้อน 

ดร.พิจิตตกล่าวต่อว่า ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบนโลกในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มีผลต่อคนจนในประเทศที่ยากจน โดยเฉพาะในประเทศเอเชีย มีผู้เสียหาย 176 ล้านคน จากจำนวนผู้ได้รับผลกระทบทั่วโลก 209 ล้านคน คิดเป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจ 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา และนับจากนี้ไป ภัยพิบัติแปลกๆที่คนไทยไม่ค่อยเห็น จะเกิดให้เห็นบ่อยครั้ง เช่น แผ่นดินไหวใน กทม. สึนามิบริเวณชายฝั่ง ดินถล่มจากภูเขา อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศและพื้นโลก เป็นผลมาจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่หนักหน่วงและรุนแรง ส่งผลให้โลกร้อนขึ้นปีละ 0.4 องศาเซลเซียส ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นปีละ 10 ซม. และจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนถึงระดับวิกฤติ โดยเฉพาะ กทม. ปัจจุบันมีระดับความสูงเหนือน้ำทะเลเพียง 35 ซม.เท่านั้น เชื่อว่าจะได้รับผลกระทบ และเห็นได้ในระยะสั้นๆ

ดร.พิจิตตยังเรียกร้องให้ทุกฝ่ายต้องคิดถึงการที่จะให้ประเทศชาติอยู่รอดได้ด้วยการวางแผนปฏิบัติการและลงมือปฏิบัติทันที ในประเด็นพื้นที่ชุ่มน้ำ เรื่องชลประทาน เพื่อการเกษตรสำหรับผลิตอาหาร และเรื่องการระบายน้ำ ที่สำคัญคือเรื่องเตรียมความพร้อมที่จะรับมือกับภัยชนิดต่างๆอย่างเป็นระบบและมีสติ หาไม่แล้วจะเข้าสู่ภาวะล่มสลายไปทั่วประเทศ ซึ่งแนวคิดนี้ชาวไทยได้รับพระราชทานมาแล้ว จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่หน่วยงานต่างๆยังล่าช้า เกรงว่าจะไม่ทันกาล

ด้าน ดร.เปี่ยมศักดิ์ เมนะเศวตร คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้จัดการประชุมครั้งนี้ เปิดเผยว่า การประชุมนานาชาติดังกล่าว เป็นการร่วมมือของนักวิทยาศาสตร์หลากหลายสาขา โดยมีจุดประสงค์คือแสวงหาคำตอบที่แน่วแน่ว่า ทุกๆวันที่โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จะต้องให้ประชาคมโลกได้เตรียมรับรู้ และรับมือจากภัยพิบัติอันเป็นผลพวงมาจากภาวะโลกร้อนเป็นการล่วงหน้า

ขณะที่ศาสตราจารย์นิชิดา ประธาน เอเชีย โอเชียนนิก จีโอ ไซ-โซไซตี้ กล่าวว่า ถึงเวลาที่ชาวเอเชียด้วยกัน ซึ่งมีประชากรมากกว่าครึ่งโลก ต้องแสวงหาหนทางในการให้ประชากรในทวีปนี้อยู่ได้อย่างปลอดภัย ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงของโลกเช่นนี้ให้ได้ 

นายดิเรก ก้อนกลีบ ผวจ.แม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า ทางจังหวัดสั่งเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์อุทกภัย โดยเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ร่วมมือกับบริษัทเนกเทค ติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ บริเวณพื้นที่ อ.ปาย และ อ.ปางมะผ้า ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวจะส่งสัญญาณทุก 2 ชั่วโมง มายังจังหวัด หากพบว่ามีปริมาณน้ำฝนมากผิดปกติ และดินมีการอุ้มน้ำไว้เต็มที่พร้อมที่จะเกิดเหตุอุทกภัย หรือดินสไลด์ โดยอุปกรณ์ดังกล่าวจะทำให้ จังหวัดทราบข้อมูลก่อนเกิดเหตุได้ 2 ชั่วโมง ทำให้เตรียมการรับมือได้ทันท่วงที นอกจากการติดตั้งอุปกรณ์ไฮเทคแล้ว ยังมีการจัดตั้งมิเตอร์เตือนภัยในทุกตำบล เพื่อคอยวัดปริมาณน้ำฝนและรายงานมายังจังหวัดทุกชั่วโมง ทางจังหวัดยังสั่งการไปยังทุก อบต. และ อบจ. ให้ดำเนินการจัดเตรียมอุปกรณ์และกำลังพลตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อคอยให้การช่วยเหลือผู้ประสบเหตุอุทกภัยได้ทันที

กรมอุตุนิยมวิทยารายงานสภาพอากาศเมื่อช่วงเช้า ของวันที่ 1 ส.ค. ว่า มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยและอ่าวไทย ประกอบกับมีความกดอากาศกำลังปานกลางปกคลุมทะเลจีนตอนกลาง ทำให้ทั่วทุกภาคของประเทศไทยมี ฝนตกหนักถึงหนักมากและมีลมกระโชกแรงในบางพื้นที่ อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่ลาดเชิงเขาและพื้นที่ใกล้ทางน้ำไหล โดยเฉพาะ จ.จันทบุรีและตราด สำหรับชายฝั˜งทะเลอ่าวไทยและอันดามันมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีฝนตกประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่และมีลมกระโชกแรง ขอให้ระมัดระวังภัยธรรมชาติในครั้งนี้ด้วย

 
 
จาก         :             ไทยรัฐ    วันที่ 2 สิงหาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #113 เมื่อ: สิงหาคม 03, 2007, 12:21:21 AM »


ภัยโลกร้อนมาแล้ว
 
ผมอ่านข่าวชาวสวนจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งประสบปัญหาราคาผลไม้ตกตํ่าอย่างมาก มังคุดขายได้กิโลละ 2-3 บาท เงาะกิโลละ 3-4 บาท ทุเรียนกิโลละ 4-6 บาท จนต้องนำเทกระจาดที่หน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อเรียกร้องให้ทางการช่วยเหลือแล้ว ก็รู้สึกสลด ใจเป็นอย่างยิ่ง

นี่คือ หนึ่งในภัยพิบัติจากภาวะโลกร้อนที่กำลังคุกคามประเทศไทย ฝนฟ้าไม่มาตามฤดูกาล หรือมาก็มีมากเกินไป ทำให้มีผลผลิตล้นจนราคาตกตํ่า เป็นภัยพิบัติที่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรโดยตรง นอกเหนือจากภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว

วันนี้พายุฝนฟ้าในประเทศไทยก็รุนแรงขึ้น จนป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ถูกพัดพังเป็นว่าเล่น ปริมาณนํ้าฝนก็ตกมากขึ้น ส่งผลให้เกิดนํ้าป่าไหลหลากนํ้าท่วมทั่วประเทศ

ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเปลี่ยนแปลงภูมิภาค Climate Change กว่า 500 คนที่ประชุมกันที่กรุงปารีส เมื่อต้นปีนี้ทำนายว่า ภายในปี 2100 อีก 93 ปีข้างหน้า อุณหภูมิบนพื้นผิวโลกจะเพิ่มขึ้น 2-4 องศาเซลเซียส ซึ่งจะทำให้นํ้าแข็งละลายเร็วขึ้นและมากขึ้น ส่งผลให้ระดับนํ้าทะเลสูงขึ้น 28-43 เซนติเมตร

ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นก็คือ ซีกโลกด้านเหนือจะเกิดคลื่นความร้อนที่รุนแรงขึ้นและมีมากขึ้น ซีกโลกด้านใต้ก็จะเกิดภาวะภัยแล้งจัด ประชากร 1,000-3,000 ล้านคน จะได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนนํ้า

ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 500 คน สรุปเห็นพ้องกันว่า หากไม่ลงมือทำอะไรเลยตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้น จะสร้างความเสียหายเป็นมูลค่ากว่า 5,500 ล้านยูโร หรือประมาณ 270,000 ล้านบาท

สองวันก่อน ผมได้รับหนังสือ An Inconvenient Truth the crisis of global warming หรือชื่อไทยว่า “โลกร้อน” เขียนโดย อัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ แปลโดย คุณพลอยแสง เอกชาติ จาก สำนักพิมพ์มติชน ที่ส่งมาให้ เมื่ออ่านความจริงที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้แล้ว ก็ยิ่งมองเห็นภัยพิบัติที่กำลังเกิดขึ้นกับโลกเบี้ยวใบนี้ จากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเกิดจากอุณหภูมิของโลกที่ร้อนขึ้นเรื่อยๆ จากการบริโภคพลังงานของมนุษย์

มหันตภัยที่จะเกิดขึ้นกับมนุษย์จากนี้ไปก็คือ อากาศร้อนขึ้น และ ไฟป่า ภัยแล้ง นํ้าท่วม พายุไต้ฝุ่น พายุเฮอริเคน ที่รุนแรงขึ้นและมากขึ้น

วันนี้ จีน ยุโรป และ สหรัฐฯ ต่างก็เผชิญกับ “ภัยร้อน” และ “ภัยแล้ง” และ “ไฟป่า” และ “นํ้าท่วม” อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

อากาศร้อนทำให้ผู้คนบริโภคนํ้ามากขึ้น ทำให้นํ้าประปาในหลายประเทศเริ่มขาดแคลน อากาศร้อนทำให้ประชาชนใช้ไฟฟ้ามากขึ้น ใช้เครื่องปรับอากาศมากขึ้นเพื่อดับร้อน ผลก็คือมีการบริโภคพลังงานมากขึ้น ยิ่งทำให้โลกร้อนมากขึ้น

จากหนังสือ “โลกร้อน” ของ อัล กอร์ บอกว่าธารนํ้าแข็งในซีกโลกเหนือ และซีกโลกใต้ได้ละลายไปแล้วเป็นจำนวนมาก จากอุณหภูมิที่สูงขึ้น ธารนํ้าแข็งหลายแห่งไม่เหลือนํ้าแข็งให้เห็นอีกแล้ว นํ้าแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกในขั้วโลกเหนือ หลอมละลายมากจนเปราะบาง ทำให้ “หมีขั้วโลก” ซึ่งอาศัยแพนํ้าแข็งในการล่าแมวนํ้า ต้องว่ายนํ้าเป็นระยะทางไกลขึ้น จนบางตัวหมดแรงจมนํ้าตายเสียก่อน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในโลก

ความร้อนที่เพิ่มขึ้นในโลก และไม่สามารถระบายออกไปนอกโลกได้ ก็เพราะภาวะเรือนกระจกปิดกั้นไว้ ซึ่งเกิดจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CO2 ที่ปล่อยออกมาจากเผาผลาญพลังงานเชื้อเพลิง นํ้ามัน ก๊าซ และ ถ่านหิน

ไปพลิกดูข้อมูลเถอะครับ ประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สู่บรรยากาศโลกมากที่สุด ก็คือประเทศที่ใช้ “ถ่านหิน” ผลิตไฟฟ้ามากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ ออสเตรเลีย ยุโรป ที่ปล่อยก๊าซ CO2 สู่โลกมากเป็นอันดับ 1-2-3

ประเทศไทยวันนี้อยู่ในอันดับที่ 10 ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนได ออกไซด์ออกมามากที่สุด รองจากมาเลเซีย จึงไม่น่าแปลกใจที่ “ภัยโลกร้อน” จะเริ่มเล่นงานประเทศไทยเป็นประเทศต้นๆ ในภูมิภาคนี้เช่นกัน ถึงเวลาแล้วที่คนไทยจะต้องร่วมมือกันเร่งรณรงค์ครั้งใหญ่ เพื่อช่วยผ่อนคลายโลกร้อนในทุกวิถีทาง ก่อนที่ภัยคุกคามจะเพิ่มความรุนแรงขึ้นกว่านี้.

 
 
จาก         :             ไทยรัฐ   คอลัมน์หมายเหตุประเทศไทย   วันที่ 3 สิงหาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #114 เมื่อ: สิงหาคม 04, 2007, 12:12:26 AM »


เผย"ในหลวง"ทรงห่วงโลกร้อน ตั้งแต่ปี 2532

รองเลขาฯ กปร.ระบุ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีกระแสพระราชดำรัสเรื่องโลกร้อนตั้งแต่ปี 2532 ทรงห่วงภาวะเรือนกระจก สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลง น้ำแข็งละลาย แนะประชาชนยึดหลักความพอเพียงช่วยลดภาวะโลกร้อนได้

นายเฉลิมเกียรติ แสนวิเศษ รองเลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) ปาฐกถาพิเศษเชิงวิชาการเรื่อง “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับการบรรเทาปัญหาภาวะโลกร้อนอย่างยั่งยืน ที่จุฬาฯ กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีกระแสพระราชดำรัสเรื่องภาวะโลกร้อนมานานแล้ว โดยเฉพาะที่ชัดเจนในวันที่ 4 ธันวาคม 2532 ว่า “เพราะว่าสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลง เขาบอกว่าเพราะว่ามีสารคาร์บอนขึ้นไปในอากาศมากจะทำให้เหมือนตู้กระจกครอบ แล้วโลกนี้ก็จะร้อนขึ้น เมื่อโลกนี้ร้อนขึ้นมีหวังว่าน้ำแข็งจะละลายลงทะเลและรวมทั้งน้ำทะเลจะพองขึ้น สิ่งที่ทำให้คาร์บอนในอากาศเพิ่มมากขึ้นนั้น มาจากการเผาเชื้อเพลิงซึ่งอยู่ในดินและมาจากการเผาไหม้”

โดยแนวพระราชดำริที่เป็นแนวทางประกอบด้วย เรื่องการอนุรักษ์และปลูกป่าไม้ การรักษาแหล่งน้ำ การสร้างอาชีพที่ยั่งยืน การป้องกันและบำบัดน้ำเสีย การลดปริมาณขยะ การลดใช้พลังงาน การแก้ปัญหาจราจร และการปรับปรุงอุตสาหกรรม ลดการใช้เครื่องปรับอากาศ ซึ่งการนำพระราชดำริไปสู่การปฏิบัติจะต้องบูรณาการ ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจอย่างสมดุล


จาก         :             มติชน    วันที่ 4 สิงหาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #115 เมื่อ: สิงหาคม 04, 2007, 12:22:13 AM »


ทิเบตร้อนสุด ธารน้ำแข็งหิมาลัยละลายเร็วขึ้น



อุณหภูมิบริเวณที่ราบสูงทิเบต หลังคาโลกสูงขึ้นถึง 0.3 องศาเซลเซียสต่อทศวรรษ สูงกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่เพิ่มขึ้นต่อทศวรรษสองเท่า จากการศึกษาของกรมอุตุนิยมวิทยาของทิเบต อุณหภูมิที่สูงขึ้นจะทำให้ธารน้ำแข็งในเทือกเขาหิมาลัยละลายเร็วขึ้น

ปรากฏการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าพื้นที่สูงในเขตร้อนของโลกกำลังได้รับผลจากปรากฏการณ์เรือนกระจกอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับบริเวณขั้วโลก ซึ่งกว่า 50 ปีมาแล้วที่อุณหภูมิบริเวณอาร์กติก ขั้วโลกเหนือและแอน ตาร์กติกาขั้วโลกใต้ได้เพิ่มสูงขึ้น 0.5 องศาเซลเซียสต่อทศวรรษ

เมื่อปี 2000 นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิบริเวณที่ราบสูงทิเบตซึ่งพบว่าอุณหภูมิไม่ได้สูงขึ้นเพราะองค์ประกอบเวลาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังสูงขึ้นเพราะองค์ประกอบความสูงด้วย ผลการศึกษานี้สรุปได้ว่า ที่ราบสูงคือหนึ่งในบริเวณที่มีความอ่อนไหวที่สุดต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ การศึกษาในปี 2006 ก็ได้ผลเช่นเดียวกัน

ดร.ลอนนี ทอมป์สัน นักธารน้ำแข็งวิทยาผู้มีชื่อเสียงของ มหาวิทยาลัยแห่งรัฐโอไฮโอ กล่าวว่า "ไม่ว่าคุณจะอยู่ในเทือกเขาหิมาลัย เทือกเขาแอนดีส หรือในแอฟริกาก็ตาม อุณหภูมิกำลังสูงที่สุดในบริเวณที่สูงที่สุด" และว่าเรากำลังเห็นอุณหภูมิที่สูงขึ้นในอัตราเร่งซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับการละลายหรือหดตัวของธารน้ำแข็งในที่สูงซึ่งเรากำลังเห็นกันอยู่

อุณหภูมิที่สูงขึ้นในที่สูง ทำให้ธารน้ำแข็งภูเขาที่เทือกเขาหิมาลัย เทือกเขาแอนดีสในอเมริกาใต้ และเทือกเขาแอลป์ในยุโรป กำลังละลายอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกันกับธารน้ำแข็งที่เกาะกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกา



การศึกษาขององค์กร World Glacier Monitoring Service (WGMS) ซึ่งเผยแพร่เมื่อต้นปี 2007 พบว่า ธารน้ำแข็งภูเขาหดตัวหรือละลายเร็วกว่าที่เคยเกิดในทศวรรษที่ 1980 ถึงสามเท่า โดยธารน้ำแข็งบางลงโดยเฉลี่ยเท่ากับ 66 เซนติเมตร ในปี 2005 คิดเป็นอัตรา 1.6 เท่าของทศวรรษที่ 1990 และสามเท่าของทศวรรษที่ 1980

WGMS ทำการศึกษาธารน้ำแข็งกลุ่มตัวอย่าง 30 สายที่ภูเขาทั่วโลกจำนวน 9 ลูก โดยวัดความบางของธารน้ำแข็งเป็นเมตรเทียบเท่าน้ำ กล่าวคือ น้ำ 1 เมตรเทียบเท่าน้ำแข็ง 1.1 เมตร สิ่งที่พบก็คือ ธารน้ำแข็งภูเขาสูญเสียน้ำแข็งเทียบเท่าน้ำไปแล้ว 9.6 เมตรนับตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นมา

ไมเคิล เซมป์ นักวิทยาศาสตร์ของ WGMS บอกว่าเมื่อ 150 ปีก่อนธารน้ำแข็งมีมากที่สุดในประวัติศาสตร์ธารน้ำแข็งในช่วงเวลา10,000 ปี แต่หลังจากปี 1850 ลดลงถึง 50% และน้อยที่สุดในช่วงเวลา 10,000 ปี

สำหรับเทือกเขาแอลป์ข้อมูลบ่งชี้ว่าธารน้ำแข็งหดตัวเร็วที่สุดตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา โดยสูญเสียน้ำแข็งโดยเฉลี่ย 1 เมตรในทุกๆ ปี และสูญเสียน้ำแข็งไปแล้ว 19 เมตร ตั้งแต่ปี 1980 ปัจจุบันธารน้ำแข็งบริเวณเทือกเขาแอลป์มีความหนาโดยเฉลี่ยประมาณ 30 เมตรเท่านั้น

นักวิทยาศาสตร์พยากรณ์ว่าหากอุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้น 3 องศาเซลเซียล ธารน้ำแข็งในเทือกเขาแอลป์จะหายไปประมาณ 80% จะเหลือเพียงธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุดและอยู่สูงที่สุดเท่านั้น



ส่วนเทือกเขาหิมาลัย เทือกเขาที่มีความสำคัญต่อประชากรโลกมากที่สุด เพราะเป็นแหล่งน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดของโลกรองจากบริเวณขั้วโลก มีธารน้ำแข็งหลายพันสายและทะเลสาบที่เกิดจากธารน้ำแข็งอีกหลายพันแห่ง ธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดคือ ธารน้ำแข็งเซียเชน ยาว 72 กิโลเมตร อยู่ระหว่างแจมมูกับแคชเมียร์

เทือกเขาหิมาลัยเป็นแหล่งน้ำให้กับประชากร 1 ใน 6 ของโลก เพราะเป็นต้นน้ำของแม่น้ำสำคัญในเอเชียถึง 7 สาย คือแม่น้ำคงคาในอินเดีย แม่น้ำอินดุสในปากี สถาน แม่น้ำบราห์มาปุตราในบังคลาเทศ แม่น้ำแยงซีและแม่น้ำเหลืองในจีน แม่น้ำอิระวดีในพม่า และแม่น้ำโขงซึ่งไหลผ่านหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

หากธารน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยละลายมากขึ้นจะเกิดอุทกภัย ในพื้นที่ของประเทศอินเดีย ภูฏาน เนปาล และเขตปกครองตนเองทิเบต เพราะทะเลสาบธารน้ำแข็งจะแตก และหากธารน้ำแข็งละลายจนหมดประชากรโลกหลายร้อยล้านคนจะขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง

ปี 2002 หน่วยงาน United Nations Environment Program (UNEP) ของสหประชาชาติร่วมกับ International Center for Integrated Mountain Develop ment (ICIMOD) เผยผลการศึกษาธารน้ำแข็งจำนวน 4,000 สายและ ทะเลสาบ 5,000 แห่งในประเทศเนปาลและภูฏาน โดยใช้ภาพถ่ายจากดาวเทียม และภาพถ่ายจากเครื่องบินเป็นเวลานาน 3 ปี ซึ่งพบว่าทะเลสาบธารน้ำแข็ง 20 แห่งในเนปาล และ 24 แห่งในภูฎานอยู่ในสภาวะอันตราย

ทีมนักวิทยาศาสตร์พยากรณ์ว่าทะเลสาบเหล่านี้มีโอกาสแตกในกลางทศวรรษหน้า เพราะปริมาณน้ำมหาศาลจากธารน้ำแข็ง จะทำให้เกิดน้ำท่วมและทะเลโคลนในพื้นที่ที่อยู่ต่ำกว่า และสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนหลายหมื่นคนที่อาศัยไกลออกไปกว่า 100 กิโลเมตร

สถิติแสดงว่าทะเลสาบธารน้ำแข็งของเทือกเขาหิมาลัยจะแตกทุกๆ 500 ปี ทว่านับตั้งแต่ปี 1935 เป็นต้นมาทะเลสาบธารน้ำแข็งแตกแล้วถึง 12 ครั้ง



ปี 1954 ทะเลสาบธารน้ำแข็ง เชงหว่าง โช ในทิเบตแตก น้ำจากทะเลสาบไหลท่วมเมืองซึ่งอยู่ไกลออกไปถึง 120 กิโลเมตร ปี 1985 ทะเลสาบธารน้ำแข็ง ดิก โช ในเนปาลแตก กระแสน้ำสูงถึง 15 เมตร ทำลายสถานีไฟฟ้า สะพาน 14 แห่ง และคร่าชีวิตประชาชนหลายสิบคน

อนาคตของประชาชนหลายร้อยล้านคนกำลังน่า เป็นห่วง เจนนิเฟอร์ มอร์แกน ผู้อำนวยการโปรแกรมการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลกขององค์กรกองทุนสัตว์ป่าโลก (WWF) พยากรณ์ว่า การละลายอย่างรวดเร็วของธารน้ำแข็งหิมาลัยในช่วงแรกจะทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำเพิ่มขึ้นจนเกิดน้ำท่วมในบริเวณกว้าง แต่อีกไม่กี่ทศวรรษต่อมาสถานการณ์จะเปลี่ยนไป ระดับน้ำในแม่น้ำจะลดลง

ธารน้ำแข็งซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดน้ำของแม่น้ำคงคา แม่น้ำอินดุส แม่บราห์มาปุตรา แม่น้ำโขง แม่น้ำสาละวิน แม่น้ำแยงซี และแม่น้ำเหลืองจะหดตัวปีละ 10-15 เมตรต่อปี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชากรหลายร้อยล้านคนในจีน เนปาล และอินเดีย


จาก         :             มติชน    วันที่ 4 สิงหาคม 2550   /   คอลัมน์ โลกสามมิติ โดย บัณฑิต คงอินทร์
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #116 เมื่อ: สิงหาคม 04, 2007, 12:32:29 AM »


ทรงห่วง"โลกร้อน" รับสั่งเมื่อ 18 ปีก่อน ศก.พอเพียงช่วยได้   
 
เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดสัมมนาวิชาการ "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับการบรรเทาปัญหาภาวะโลกร้อนอย่างยั่งยืน" โดยนายเฉลิมเกียรติ แสนวิเศษ รองเลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) ปาฐกถาพิเศษว่า ภาวะโลกร้อนเกิดมาจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ที่สะสมในชั้นบรรยากาศ สาเหตุที่สำคัญคือการใช้พลังงานของมนุษย์ เช่น การคมนาคมขนส่ง การผลิตสินค้า การดำรงชีวิตประจำวัน ซึ่งมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ออกมา

นายเฉลิมเกียรติ กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีกระแสพระราชดำรัสเรื่องภาวะโลกร้อนมานานแล้ว โดยเฉพาะที่ชัดเจนในวันที่ 4 ธันวาคม 2532 ว่า "เพราะว่าสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลง เขาบอกว่าเพราะว่ามีสารคาร์บอนขึ้นไปในอากาศมากจะทำให้เหมือนตู้กระจกครอบ แล้วโลกนี้ก็จะร้อนขึ้น เมื่อโลกนี้ร้อนขึ้นมีหวังว่าน้ำแข็งจะละลายลงทะเลและรวมทั้งน้ำทะเลจะพองขึ้น สิ่งที่ทำให้คาร์บอนในอากาศเพิ่มมากขึ้นนั้น มาจากการเผาเชื้อเพลิงซึ่งอยู่ในดินและมาจากการเผาไหม้"

นายเฉลิมเกียรติ กล่าวว่า โดยแนวพระราชดำริที่เป็นแนวทางประกอบด้วย เรื่องการอนุรักษ์และปลูกป่าไม้ การรักษาแหล่งน้ำ การสร้างอาชีพที่ยั่งยืน การป้องกันและบำบัดน้ำเสีย การลดปริมาณขยะ การลดใช้พลังงาน การแก้ปัญหาจราจร และการปรับปรุงอุตสาหกรรม ลดการใช้เครื่องปรับอากาศ ซึ่งการนำพระราชดำริไปสู่การปฏิบัติจะต้องบูรณาการ ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจอย่างสมดุล

"ซึ่งภาวะโลกร้อนสามารถช่วยบรรเทาได้ เพียงประชาชนน้อมรับปฏิบัติตามแนวพระราชดำริความพอเพียง คือ พอประมาณ ใช้เหตุผล และมีภูมิคุ้มกัน ตั้งอยู่บนฐานความรู้ จริยธรรม และคุณธรรมในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคอุปโภค การเลือกเส้นทางวิธีการเดินทาง การปฏิบัติตัวจะต้องไม่เบียดเบียนทั้งตนเอง ผู้อื่น และสิ่งแวดล้อม"

นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า ในวันที่ 9 สิงหาคม นี้ กทม.จะร่วมกับ 36 องค์กรทั้งรัฐและเอกชนรณรงค์การป้องกันภาวะโลกร้อน และร่วมกับโรงเรียนในกรุงเทพฯ จัดกิจกรรมปลูกต้นไม้ พร้อมทั้งแจกต้นกล้าไม้ให้ประชาชนมารับได้ที่สำนักงานเขต และในวันที่ 12 สิงหาคมนี้จะมีกิจกรรมปลูกต้นไม้ในกรุงเทพฯ ครบ 3 ล้านต้น เพื่อเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งทรงสนับสนุนแนวทางการปลูกป่า นอกจากนี้จะประกาศแผนปฏิบัติการความร่วมมือจากหลายฝ่ายระยะเวลา 5 ปีเพื่อลดภาวะโลกร้อน อาทิ ส่งเสริมให้ลดการใช้พลังงาน ,ลดปริมาณขยะ และส่งเสริมการปลูกต้นไม้สีเขียว 


จาก         :             แนวหน้า    วันที่ 4 สิงหาคม 2550   
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #117 เมื่อ: สิงหาคม 05, 2007, 12:38:12 AM »


อุณหภูมิโลกเพิ่ม 0.4 องศาฯ นักวิชาการเร่งศึกษาผลกระทบโลกร้อน



      ผลประชุม AOGS 2007 นักวิชาการทั่วโลกเร่งศึกษาผลกระทบจากภาวะโลกร้อน เพื่อทราบผลกระทบที่ชัดเจน เผยขณะนี้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 0.4 องศาเซลเซียส และระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น ด้านนักวิชาการไทย เผยพบสึนามิเกิดขึ้นครั้งแรกสมัยกรุงศรีอยุธยา แนะรัฐเร่งวางแผนเตือนภัยและจัดสรรการใช้ที่ดินหน้าชายหาดป้องกันความสูญเสีย

        ศ.ดร.เปี่ยมศักดิ์ เมนะเศวต คณบดีคณะวิทยาศาสาตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดการประชุมวิชาการนานาชาติ AOGS 2007 (Asia Oceania Geosciences Society) ฝ่ายไทย กล่าวสรุปผลการประชุม AOGS 2007 ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้เรื่องวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับโลก ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ท้องฟ้า และทะเล ว่าการประชุมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ก.ค. – 4 ส.ค.โดยมีนักวิชาการจากทั่วโลกเข้าร่วมประชุม และในส่วนของสภาวะโลกร้อนนักวิชาการส่วนใหญ่เห็นว่ายังคงต้องมีการศึกษาวิจัยต่อไป เพื่อให้ทราบผลกระทบที่ชัดเจน เพราะสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้ทั่วโลกมีเพียงอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 0.4 องศาเซลเซียส และระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในอนาคตจะสามารถศึกษาหาทางรับมือได้
       
       ด้าน ดร.เครือวัลย์ จันทร์แก้ว นักธรณีวิทยา กล่าวว่า จากการศึกษาการเกิดสึนามิในประเทศไทย พบมีหลักฐานชัดเจนว่ามีเกิดขึ้นในไทยครั้งแรกเมื่อ 600 ปีก่อน หรือในสมัยต้นกรุงศรีอยุธยา ซึ่งจากการศึกษายังไม่สามารถระบุได้ชัดถึงระยะเวลาการเกิดสึนามิในอนาคต ฉะนั้น ภาครัฐจะต้องเร่งวางแผนป้องกันและควบคุมการจัดสรรใช้ที่ดินหน้าชายหาด เพื่อป้องกันการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น ในส่วนของการซักซ้อมเตือนภัยของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ที่ผ่านมานับว่าดีมาก แต่ควรให้ความรู้กับประชาชนควบคู่ไปด้วย


จาก         :             ผู้จัดการออนไลน์    วันที่ 5 สิงหาคม 2550    
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #118 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2007, 11:46:04 PM »


มีเทนจากนาข้าวสู่โลกร้อน เทียบพลังงานกระทบน้อยกว่า


 
Global Warming.....สภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องที่ พลโลกพากันหวาด และมีการถกเถียงกันว่า สภาวะดังกล่าวเกิดขึ้น เพราะธรรมชาติ หรือ น้ำมือมนุษย์..!!!

ท้ายสุดเห็นพ้องต้องกันว่า...มนุษย์นั่น แหละตัวดี ด้วยสาเหตุที่มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ การตัดไม้ทำลายป่า การย่อยสลายของสิ่งมีชีวิต อุปกรณ์เครื่องใช้อำนวยความสะดวกแก่ชีวิตประจำวัน เช่น โฟม กระป๋องสเปรย์ เครื่องทำความเย็น ตู้เย็น ฯลฯ รวมทั้งการปล่อยน้ำจากนาข้าว

รศ.ดร.สิรินทรเทพ เต้าประยูร ประธานสายสิ่งแวดล้อม บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) จึง วิจัยก๊าซมีเทนในนาข้าว เรื่องเล็กของโลกร้อน...เพื่อหาทางช่วยลดสภาวะอันเลวร้าย

ข้อมูลในการวิจัยในปัจจัยนี้มาจาก....มีการกล่าวถึงก๊าซเรือนกระจกจากภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะการปล่อยก๊าซจากนาข้าว แต่แท้จริงแล้วการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทย ประมาณ 344 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์นั้นมาจากภาคพลังงานถึง 56% ของก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดในประเทศ

รองลงมาภาคเกษตรกรรม 24% จากขยะมูลฝอย และ ของเสีย 8% จากป่าไม้และการใช้ที่ดิน 7% และจากกระบวนการอุตสาหกรรม 5%

ดังนั้น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ไทยควรให้ความสำคัญกับภาคพลังงานมากกว่าภาคเกษตรกรรม

“....ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากนาข้าวคิดเเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก และยังเป็นการปล่อยเพื่อความอยู่รอด ของคนไทย เนื่องจากคนไทยทุกคนต้องกินข้าว การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากนาข้าวจึงไม่จำเป็น...”

สำหรับก๊าซจากนาข้าวเกิดจากการย่อยสลายสารอินทรีย์จากจุลินทรีย์ที่อยู่ในดินนา จากการทำวิจัยพบว่า ช่วงเวลาที่มีการปล่อยก๊าซมากที่สุด คือ คาบเวลาที่ต้นข้าวเริ่มออกดอกออกรวง

จุลินทรีย์จะย่อยสลายสารอินทรีย์ที่ต้นข้าวและรากข้าว แปลงนาที่มีการปล่อยน้ำท่วมดินนาจะทำให้เกิดสภาพไร้อากาศในดินนา ก๊าซมีเทนที่เกิดขึ้นจะถูกปลดปล่อยสู่ บรรยากาศมากที่สุดโดยผ่านทางช่องว่างในลำต้นของข้าว

เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทน สามารถทำได้โดยการเลื่อนการปล่อยน้ำออกจากนา ไปในช่วงที่ต้นข้าวกำลังออกดอก ออกรวง เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการปล่อยก๊าซมีเทนมากที่สุด การดึงน้ำออกจากนาจะทำให้ ดินนากลับคืนสู่สภาพมีออกซิเจน ทำให้จุลินทรีย์ ไม่สามารถย่อยสลายสารอินทรีย์ได้ จากนั้นจึงสูบน้ำกลับเข้านาภายใน 3 วัน วิธีการเช่นนี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทนได้ประมาณ 30-40% จากปริมาณการปล่อยเดิม



ก็จะเป็นช่องทางหนึ่งในการช่วยลดภาวะโลกร้อน ซึ่งจะได้ผลมากกว่าที่เราทุกคนร่วมปฏิบัติกันได้คือ ประหยัดพลังงาน ลดการใช้น้ำมัน...ปัจจัยนี้จะช่วยในการ หยุดโลกร้อนชะงักกว่าไปโยนบาปให้ข้าวในนาเป็นไหนๆ..!!



จาก         :             ไทยรัฐ    วันที่ 7 สิงหาคม 2550   
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #119 เมื่อ: สิงหาคม 07, 2007, 12:15:09 AM »


ธารน้ำแข็งหิมาลัยละลายเร็วขึ้น

ปัญหาโลกร้อนเป็นกระแสที่อยู่ในความสนใจของคนทั่วโลกแล้วขณะนี้ หลังจากที่ปล่อยปละละเลยมานาน เพราะมันเริ่มส่งผลกระทบต่อตัวเราแล้ว กล่าวกันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลพวงจากน้ำมือมนุษย์ เช่นเดียวกับธารน้ำแข็งหิมาลัยที่มีรายงานว่ากำลังละลายเร็วขึ้น ซึ่งย่อจะส่งผลกระทบต่อแม่น้ำสำคัญอย่างแม่น้ำเหลือง แม่น้ำคงคงและแม่น้ำโขง

ทีมนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันสมุทรศาสตร์ สคริปป์ในแคลิฟอร์เนีย ได้ใช้เครื่องบินบังคับเพื่อตรวจวัดความร้อนในชั้นบรรยากาศเหนือมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งเป็นส่วนของเอเชียที่ถูกปกคลุมด้วยกลุ่มหมอกควันมลพิษที่เกิดจากฝีมือมนุษย์(Brown Cloud) โดยพบว่ากลุ่มหมอกควันมลพิษดังกล่าวได้เพิ่มความร้อนในปริมาณถึงร้อยละ 50 ซึ่งจะช่วยเร่งให้ธารน้ำแข็งหิมาลัยละลายรวดเร็วขึ้น

รายงานระบุว่าหมอกควันดังกล่าวจะดูดซับความร้อนของแสงอาทิตย์เอาไว้จำนวนมากและปล่อยความร้อนออกสู่อากาศซึ่งมีผลทำให้ธารน้ำแข็งละลายได้เร็วขึ้น

สำหรับหมอกควันดังกล่าว ประกอบด้วยอนุภาคเล็กๆที่เรียกว่า "แอโรซอล" ที่มาจากไฟป่า ยวดยานพาหนะ และมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งการเผาถ่านและมูลวัวเพื่อใช้ในการทำอาหาร โดยเฉพาะในหลายๆครัวเรือนของประเทศที่กำลังพัฒนาในเอเชีย ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงประเทศไทยเราด้วย

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าการสูญเสียธารน้ำแข็งหิมาลัย จะทำให้ประขาชนหลายล้านคนในเอเชียประสบภาวะขาดแคลนน้ำ ทั้งนี้ธารน้ำแข็งของที่ราบสูงทิเบตเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญของแม่น้ำสายหลักในภูมิภาคเช่นแม้น้ำเหลืองของจีน แม่น้ำโขงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแม่น้ำคงคาในอินเดีย

เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กลุ่มกรีนพิซในประเทศจีน เปิดเผยว่าอุณหภูมิบริเวณยอดเขาของภูเขาเอเวอร์เรสต์มีความร้อนมากกว่าอุณหภูมิโดยเฉลี่ยของโลกถึง 3 เท่า ซึ่งนักวิทยาศาสตร์บางคนเตือนว่าหากอัตราความร้อนยังเป็นอยู่อย่างนั้น ธารน้ำแข็งจากเทือกเขาหิมาลัยจะสูญหายไปภายในปี 2578 หรือ อีก 28 ปีข้างหน้า

ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าวิธีเดียวที่จะลดหมอกควันมลพิษคือเปลี่ยนพฤติกรรมของครัวเรือนหลายล้านครัวเรือนในเอเชียให้หันมาเริ่มใช้เครื่องปรุงอาหารพลังแสงอาทิตย์ หรือลดการเผาถ่าน

เห็นดีรัฐบาลไทยจะต้องรณรงค์กันอีกครั้ง ในการควบคุมการเผาป่าเพื่อทำไร่ของเกษตรกร นอกจากนี้คงจะต้องรณรงค์ให้หันมาใช้พลังงานทางเลือกอื่นๆเพื่อสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น


จาก         :             แนวหน้า    วันที่ 7 สิงหาคม 2550   
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 18   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.033 วินาที กับ 20 คำสั่ง